×

สรุปโศกนาฏกรรมไฟป่าในโปรตุเกส ตาย 62 คน นายกฯ กล่าว “เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี”

19.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เกิดโศกนาฏกรรมไฟป่าในพื้นที่เขต ปีโดรเกา กรานดี (Pedrogao Grande) เมืองเลเรีย (Leiria) ใจกลางประเทศโปรตุเกส มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 62 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 54 คน โดย 9 รายเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส คาดการณ์ว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่ฟ้าผ่าต้นไม้ในพื้นที่ดังกล่าวจนไฟลุกและลามอย่างรวดเร็ว
  • ไฟป่าครั้งนี้แผ่ขยายออกไปในวงกว้าง จนต้องใช้ระยะเวลานานข้ามวันกว่าที่นักดับเพลิงจำนวนกว่า 1,700 คนจะสามารถควบคุมให้เพลิงสงบ ขณะที่นายกรัฐมนตรีโปรตุเกสกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้

     เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เกิดโศกนาฏกรรมไฟป่าในพื้นที่เขต ปีโดรเกา กรานดี (Pedrogao Grande) เมืองเลเรีย (Leiria) ใจกลางประเทศโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือห่างจากเมืองหลวงอย่างลิสบอนราวๆ เกือบ 200 กิโลเมตร

     ทั้งนี้จากรายงานล่าสุดเมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นระบุว่า เพลิงป่าในครั้งนี้ได้คร่าชีวิตประชาชนไปมากกว่า 62 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 54 คน โดย 9 รายเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

     ไฟป่าในครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ทำไมร้ายแรงจนถึงขั้นพรากลมหายใจประชาชนได้มากถึงเพียงนี้ เราสรุปเรื่องราวของเหตุสลดใจที่เกิดขึ้นทั้งหมดในครั้งนี้ของประเทศโปรตุเกสไว้คร่าวๆ ดังนี้

 

 

‘62 ชีวิตที่จากไป’ เกิดอะไรขึ้นกับไฟป่าในครั้งนี้ของประเทศโปรตุเกส

     โศกนาฏกรรมในครั้งนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน ช่วงเวลาราวๆ 14.00 น. สถานที่เกิดเหตุไฟป่าอยู่บริเวณเขตปีโดรเกา กรานดี เมืองเลเรีย ใจกลางประเทศโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือห่างจากเมืองหลวงอย่างลิสบอนราวๆ เกือบ 200 กิโลเมตร
ไฟป่าที่ปะทุขึ้นเกิดการลุกลามอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวต้องหนีเอาชีวิตกันอย่างจ้าละหวั่น

     แน่นอนว่าหลายๆ ครอบครัวเลือกที่จะหนีด้วยการขึ้นรถ แต่โชคร้ายที่เปลวเพลิงนั้นลุกลามอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงจนกลายเป็นพายุเพลิงเผาชีวิตผู้คนที่กำลังหนีแบบไร้ความปราณี บ้านจำนวนหลายครัวเรือนถูกไฟเผาจนมอดไหม้ โดยมียอดผู้เสียชีวิตรวมกว่า 62 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 54 คน ในจำนวนนี้มีถึง 9 รายที่เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส (สำนักข่าวส่วนใหญ่ยืนยันยอดผู้เสียชีวิต 62 คน มีเพียง CNN ที่รายงานว่าผู้เสียชีวิตมีจำนวนทั้งหมดที่ 61 คน)

     จอร์จ โกเมส (Jorge Gomes) เลขานุการรัฐโปรตุเกสระบุว่าผู้เสียชีวิตจำนวน 22 รายถูกไฟคลอกขณะกำลังขับรถหนีเอาชีวิต ขณะที่อีก 3 รายเสียชีวิตจากการสำลักควันไฟอย่างหนัก

     ก่อนหน้านี้ได้มีการคาดการณ์ว่าคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส น่าจะมีส่วนที่ทำให้เกิดไฟป่าในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าสาเหตุที่แท้จริงน่าจะมาจากการที่ฟ้าผ่าต้นไม้ในพื้นที่ดังกล่าวจนจุดติดเป็นเปลวเพลิงที่กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วมากกว่า

     อิซาเบล บรันเดา (Isabel Brandao) หนึ่งในผู้อาศัยที่อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์เล่าว่า เธอเห็นกำแพงควันหนาทึบและเปลวเพลิงสีแดงจ้ากำลังเผาไหม้ต้นไหม้ที่อยู่ติดกับบ้าน “เมื่อวานเราเห็นไฟไหม้ แต่คิดว่ามันอยู่ไกลมากๆ ไม่น่าจะลามมาถึงฝั่งนี้ได้ ตอนตี 3 ครึ่ง แม่ยายได้ปลุกฉันให้ตื่นและเราก็ไม่ได้หลับกันอีกเลย เพราะว่าไฟจะลุกมาถึงบ้านของเรา”

     ขณะที่ วัลเดมาร์ อัลเวส (Valdemar Alves) นายกเทศมนตรีท้องถิ่นบอกว่ามีหมู่บ้านจำนวนกว่า 20 แห่งที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าในครั้งนี้ “นี่เป็นบริเวณที่มีไฟไหม้เกิดขึ้นเป็นประจำเพราะพื้นที่ป่า แต่เราจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เกิดโศกนาฏกรรมที่มีความเสียหายระดับนี้คือเมื่อไร”

    เขากล่าวต่อว่า “มันดูเหมือนจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เหมือนมาจากนอกโลกด้วยซ้ำ! จะบอกว่าเป็นนรกเลยก็ได้ เพราะผมไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน”

     ด้าน อันโตนิโอ คอสตา (Antonio Costa) นายกรัฐมนตรีได้กล่าวผ่านรายการทีวีว่า “นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดสำหรับมนุษย์ ซึ่งเราทุกคนได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานกับประเทศโปรตุเกสในรอบหลายปี”

     ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้บนเกาะมาเดรา ( Madeira) ในประเทศโปรตุเกส และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 คน และบ้านเรือนจำนวน 40 หลังที่ได้รับความเสียหาย

     หรือหากย้อนกลับไปในปี 1966 เหตุไฟป่าในเมืองซิงตรา (Sintra) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของลิสบอนก็คร่าชีวิตทหารไปจำนวน 25 คน เหตุการณ์ไฟป่าครั้งล่าสุดที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 62 คนนี้จึงอาจจะเป็นโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศโปรตุเกสเลยก็ว่าได้

 

 

การช่วยเหลือที่ยาวนานข้ามวัน กับนักดับเพลิงกว่าพันคน

     หลังได้รับแจ้งเหตุในช่วงเวลาประมาณบ่ายวันเสาร์ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องใช้ระยะเวลานานข้ามวันจนถึงช่วงเช้ามืดของวันอาทิตย์ก่อนที่จะสามารถควบคุมเพลิงและทำให้มันสงบลง โดยที่มอเตอร์เวย์หลายๆ แห่งในละเเวกดังกล่าวถูกสั่งปิดใช้งานชั่วคราวด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

     มีรายงานว่าในช่วงคืนวันเสาร์ นักดับเพลิงจำนวนกว่า 1,770 คน ได้ช่วยกันระดมดับไฟและควบคุมเพลิง ขณะที่หลังจากไฟส่วนใหญ่ได้สงบลงในช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ ทางการได้ส่งนักดับเพลิงเข้าควบคุมสถานการณ์ไฟป่าในครั้งนี้มากกว่า 700 คน และทหารอีก 2 กองทัพในจำนวนกว่า 260 ชีวิต เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก สนับสนุนเหล่านักผจญเพลิง และเร่งค้นหาร่างผู้เสียชีวิต

     นอกจากนี้ประเทศสเปนยังได้ส่งเครื่องบินดับเพลิงมาช่วยเหลืออีกเป็นจำนวน 2 ลำ ส่วนประเทศฝรั่งเศสได้เสนอเครื่องบินช่วยเหลือเป็นจำนวน 3 ลำ

     คริสตอส สไตเลียไนเดส (Christos Stylianides) หัวหน้าคณะกรรมาธิการยุโรปด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการรับมือกับภาวะวิกฤติ กล่าวว่า “เราขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียคนที่รักไป โดยอียูพร้อมเต็มที่สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทุกๆ อย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจากการให้ความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่และชาวโปรตุเกส”

 

แด่ผู้ที่จากไป

     หลังเกิดเหตุไฟป่าในครั้งนี้ ทางการโปรตุเกสได้ออกประกาศวันไว้ทุกข์เป็นระยะเวลา 3 วัน

     โดยอันโตนิโอ คอสตา นายกรัฐมนตรีโปรตุเกสได้สั่งปิดโรงเรียนในเขตปีโดรเกา กรานดี, ฟิกุยโร (Figueiro) และคาสตันเฮียรา (Castanheira) อย่างไม่มีกำหนด และสั่งให้เลื่อนการสอบออกไปทั้งหมดจนกว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ

     ขณะที่ทีมฟุตบอลโปรตุเกสก็ได้ทำการเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ในทวิตเตอร์เป็นสีดำ โดยแมตช์การพบกันระหว่างทีมชาติโปรตุเกสและเม็กซิโกในทัวร์นาเมนต์คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมายังมีการให้นักฟุตบอลสวมปลอกแขนสีดำและยืนไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนเริ่มเกมการแข่งขันเป็นระยะเวลา 1 นาที

     THE STANDARD ขอร่วมไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และขอให้ขวัญกำลังใจของประชาชนและประเทศโปรตุเกสกลับมาเข้มเเข็งในเร็ววัน

 

Photo: PATRICIA DE MELO MOREIRA, AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising