Photo: Brendar Smialowski, AFP
เจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ (FBI) เดินทางเข้าให้การต่อคณะกรรมการของวุฒิสภาสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดูอาจจะไม่ลงรอยกัน รวมถึงประเด็นการสืบสวนถึงความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจเเทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด ภายหลังจากที่ถูกทรัมป์สั่งปลดกลางอากาศเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เหตุผลสำคัญที่ทรัมป์สั่งปลดโคมีย์กลางอากาศ เป็นเพราะโคมีย์ใช้อำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม สั่งปิดคดีที่ฮิลลารี คลินตัน ใช้อีเมลส่วนตัวรับและส่งข้อมูลทางราชการช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ โดยไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายใดๆ ทรัมป์มองว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรเอฟบีไอ
อีกทั้งการเข้าไปสืบหาข้อเท็จจริงของเอฟบีไอ กรณีที่รัสเซียอาจเเทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ว่าทีมงานหาเสียงของทรัมป์จะมีความเกี่ยวพันกับรัสเซีย โดยข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยจากไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติคนสนิทของทรัมป์ ก่อนที่จะถูกปลดจากตำแหน่งหลังพบข้อเท็จจริงว่ามีการเจรจาลับกับทูตรัสเซีย การกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวประธานาธิบดี หากทางเอฟบีไอสืบทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง
Photo: MANDEL NGAN, AFP
ทางคณะกรรมการวุฒิสภาเปิดเผยเอกสารสำคัญที่โคมีย์เตรียมไว้ นั่นคือ บทสนทนาระหว่างเขากับทรัมป์ ตั้งแต่ช่วงที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง จนถึงช่วงก่อนที่เขาจะถูกปลดจากตำแหน่ง ความตอนหนึ่งในเอกสารนั้นบันทึกว่า ทรัมป์ต้องการให้โคมีย์ ซื่อสัตย์และภักดีต่อเขา และเคยเรียกร้องให้เขายุติการสืบสวน กรณีสั่งปลดนาย ไมเคิล ฟลินน์ คนสนิทของทรัมป์ที่มีการเจรจาลับกับ Sergey Kislyak เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐอเมริกา
โคมีย์ชี้แจงต่อคณะกรรมการวุฒิสภาว่า “การกล่าวว่า เอฟบีไอเป็นองค์กรที่ยุ่งเหยิง ทำงานไม่เป็นระบบ และมีหัวหน้าที่ไม่เอาไหน ทั้งหมดนี้คือคำโกหกที่เห็นได้อย่างชัดเจน
“ผมไม่คิดว่า การที่ผมพูดถึงบทสนทนาที่เคยพูดกับประธานาธิบดี จะเป็นความพยายามในการขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อเขา มันเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจผมมาก และท้ายที่สุด ผมมั่นใจว่าสภาจะเดินหน้าและพยายามเข้าใจถึงจุดยืนที่ผมออกมาต่อสู้ในวันนี้ ”
ถึงแม้ว่าโคมีย์จะไม่ได้ตอบคำถาม หรือฟันธงต่อคณะกรรมการวุฒิสภาอย่างตรงไปตรงมาว่าทรัมป์และทีมงานของเขาเกี่ยวข้องกับรัสเซียหรือไม่ อย่างไร แต่คำให้การของเขาเป็นการแสดงจุดยืน และแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองตลอดช่วงระยะเวลาที่ทำหน้าที่ผู้อำนวยการเอฟบีไอ และจะส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของทรัมป์ไม่มากก็น้อย
อ้างอิง:
– www.cbsnews.com/news/james-comey-donald-trump-relationship-timeline/