×

‘โพโมะ’ นาฬิกาอัจฉริยะป้องกันเด็กหายฝีมือคนไทย บุกตลาดทั่วโลก ตั้งเป้าผู้นำในสหรัฐ

13.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 mins read
  • จุดเริ่มต้นในการทำนาฬิกาอัจฉริยะป้องกันเด็กหายของโพโมะมีที่มาจากเหตุการณ์ลูกพลัดหลงในต่างแดนของ ฉัตรชัย ตั้งจิตตรง ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โดยสาเหตุที่ต้องเป็นนาฬิกาเนื่องจากเขาต่อต้านการใช้สมาร์ตโฟนในเด็กเล็ก
  • ‘โพโมะ วาฟเฟิล (Pomo Waffle)’ เป็นนาฬิกาติดตามตำแหน่งผู้สวมใส่ในเจเนอเรชันที่ 4 ของบริษัทโพโมะ โดยชูจุดเด่นด้านการเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่สามารถใช้ฟีเจอร์ Voice call โทรศัพท์ผ่านสัญญาณ 3G ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลกบนซิมที่พัฒนาร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณในประเทศอังกฤษ
  • ปัจจุบันวางขายได้มากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก วางเป้าหมายเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดนาฬิกาอัจฉริยะสำหรับเด็กในอาเซียน รวมถึงการเป็นผู้นำตลาดในสหรัฐให้ได้อีกด้วย

     จากจุดเริ่มต้นความใฝ่ฝันของอดีตคนทำงานด้านซอฟต์แวร์และดิจิทัลเอเจนซี ฉัตรชัย ตั้งจิตตรง และกลุ่มเพื่อนผู้ถือหุ้นจึงเกิดความคิดอยากสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อให้ลูกๆ และพ่อแม่ (ปู่-ย่า, ตา-ยาย) ของพวกเขาได้ใช้งาน

     กระทั่งวันหนึ่ง หลังเผชิญกับเหตุการณ์ลูกพลัดหลงในต่างแดนด้วยตัวเอง ฉัตรชัยจึงนำแรงบันดาลใจจากครั้งดังกล่าวมาต่อยอดสร้าง ‘นาฬิกาอัจฉริยะป้องกันเด็กหาย’ ภายใต้บริษัทโพโมะ เฮาส์ จำกัด (POMO House Co.,Ltd.) เมื่อปี 2014 โดยยึดคอนเซปต์การช่วยเหลือสังคม และพัฒนาบนแกนหลัก 3 ส่วนได้แก่ ครอบครัว สุขภาพ และความปลอดภัย

     ในวันที่นาฬิกาอัจฉริยะสำหรับเด็กของโพโมะถูกวางจำหน่ายมาแล้วถึง 4 รุ่น, ตีตลาดในกว่า 20 ประเทศจนได้รับความไว้วางใจจากคุณพ่อคุณแม่เป็นจำนวนมาก, มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 50,000 คนทั่วโลก และคาดว่าปลายปีนี้น่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 9 หลัก THE STANDARD ชวนฉัตรชัยที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท โพโมะ เฮาส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มาพูดคุยถึงไอเดียที่มาที่ไปในการสร้างนาฬิกา ตลอดจนวิธีการบุกเบิกตลาดต่างประเทศจนเป็นที่ยอมรับในเวทีระดับสากล

 

 

ฝันร้าย ‘ลูกพลัดหลงต่างแดน’ สู่นวัตกรรม ‘นาฬิกาป้องกันเด็กหาย’

     ฉัตรชัยเล่าให้เราฟังว่าพื้นเพตัวเขาและครอบครัวชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวอยู่เป็นทุนเดิม แต่ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2014 ครอบครัวตั้งจิตตรงก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หลังลูกสาวคนเล็กวัย 6 ขวบพลัดหลงกับครอบครัวนานกว่า 15 นาทีในดิสนีย์แลนด์ฮ่องกง โดยเจ้าตัวสารภาพว่ามันคือช่วงเวลาฝันร้ายที่ภาพต่างๆ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งกลัวว่าลูกจะถูกลักพาตัวไปเป็นขอทาน ถูกนำไปผ่าอวัยวะขาย แต่ที่สุดแล้ว พวกเขาก็หาตัวเด็กน้อยเจอจากคิวเข้าแถวรอเครื่องเล่นที่อยู่ไม่ไกล

     เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ฉัตรชัยต่อยอดเป็นไอเดียสร้างนาฬิกาอัจฉริยะ ‘โพโมะ’ เพื่อช่วยป้องกันกรณีเด็กพลัดหลงกับครอบครัวอื่นๆ

     “เวลาไปธีมพาร์กหรือสวนสนุกเขาจะให้คนที่เข้างานใส่แท็กข้อมือ (RFID Tag – Radio Frequency Identification) แต่มันก็เป็นแค่ตัวจับสัญญาณเช็กอินเช็กเอาต์สวนสนุก ไม่สามารถระบุพิกัดของผู้สวมใส่ได้ ยิ่งไปสวนสนุกเด็กก็จะยิ่งเตลิดไปกับเครื่องเล่น คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราไม่สามารถควบคุมเขาได้เลย ผมคิดว่าถ้ามีอะไรสักอย่างที่เป็นเครื่องติดตามเขาได้ก็คงเป็นเรื่องที่ดี

     “เราเลยเริ่มทำรีเสิร์ชข้อมูลว่าจะจับเทคโนโลยีอะไรมาผสมปนเปให้เป็นอุปกรณ์สักชิ้นได้บ้าง ที่สุดแล้วมันก็เลยเป็นที่มาของ ‘นาฬิกาป้องกันเด็กหาย’ ผมว่าส่วนหนึ่งมันก็เป็นอินเนอร์กับการทำโปรดักต์อะไรขึ้นมาสักอย่างเพื่อใครสักคน ตอบสนองความต้องการของเราในฐานะพ่อแม่ ยิ่งเมื่อเราได้ทำอะไรเพื่อสังคม ผู้ใช้งานสามารถนำไปใช้และเกิดประโยชน์ได้จริงเราก็จะมีความสุข”

 

 

สาเหตุที่เป็นนาฬิกาข้อมือเพราะต่อต้าน ‘สมาร์ตโฟน’

     แล้วทำไมไม่ให้สมาร์ตโฟนกับเด็กที่ดูจะง่ายกว่าเป็นไหนๆ?

     ฉัตรชัยเล่าถึงที่มาของนาฬิกาอัจฉริยะว่า “ผมค่อนข้างจะต่อต้านการใช้สมาร์ตโฟนในเด็ก เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า การให้เด็กใช้สมาร์ตโฟนก่อนวัยอันควร (12 ปี) จะทำให้เขาสมาธิสั้น มีแนวโน้มจะเพิ่มความก้าวร้าวสูง และยังส่งผลกระทบต่อด้านการมองเห็นอีกด้วย

     “ผมเคยให้ลูกสาวใช้แท็บเล็ตตั้งแต่ 2 ขวบ เวลาขับรถงอแง เขาก็จะหยุดทันที นี่คือการแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่กลับสร้างปัญหาในระยะยาว เพราะเมื่อเขาโตขึ้นมา 5-6 ขวบ ลูกสาวผมก็เริ่มสมาธิสั้น เหม่อลอย มีปัญหาเรื่องความก้าวร้าวจนเราต้องพาเขาไปพบแพทย์ ผมเลยต่อต้านการให้เด็กใช้สมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุยังน้อย ฉะนั้นเมื่อผมคิดจะทำผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างเพื่อลูกหรือเด็ก มันก็ไม่ควรเป็นสมาร์ตโฟน แต่จะเป็นนาฬิกาหรือแท็กติดตามที่ห้อยกับกระเป๋าสะพายก็ได้”

 

 

‘Pomo Waffle’ และซิมการ์ดที่พัฒนาร่วมกับบริษัทชั้นนำที่ใช้งานได้ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลก

     ปัจจุบัน โพโมะได้พัฒนาผลิตภัณฑ์นาฬิกาอัจฉริยะสู่ท้องตลาดมาแล้วกว่า 4 รุ่น โดยรุ่นล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายในช่วงต้นปีที่ผ่านมาคือ ‘โพโมะ วาฟเฟิล (Pomo Waffle)’ ที่นอกจากจะเป็นนาฬิกาติดตามตำแหน่งผู้สวมใส่ ก็ยังชูจุดเด่นของการเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีฟีเจอร์ Voice call โทรศัพท์ผ่านสัญญาณ 3G ในกว่า 92 ประเทศทั่วโลกได้บนซิมโพโมะที่พัฒนาร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณในประเทศอังกฤษ

     ฉัตรชัยบอกว่า “เราน่าจะเป็นนาฬิกาอัจฉริยะเจ้าเดียวในโลกที่สามารถทำ ‘VOIP (Voice over IP)’ โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ตบนซิมการ์ดที่พัฒนาร่วมกับผู้ให้บริการในประเทศอังกฤษ และใช้งานโรมมิ่งได้มากกว่า 92 ประเทศทั่วโลกในญี่ปุ่น, เกาหลี, ฮ่องกง, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา และ 28 ประเทศในยุโรป ฯลฯ โดยเสียค่าบริการ 299 บาทต่อเดือน ทำให้ผู้ปกครองไม่ต้องไปซื้อซิมท้องถิ่นเพิ่มเติมเวลาพาเด็กๆ เดินทางไปต่างประเทศ

     “ขณะที่ข้อมูลตำแหน่งของผู้สวมใส่ก็จะปรากฏบนแอปพลิเคชันของผู้ปกครองแบบเรียลไทม์ และยังสามารถกำหนดเซฟโซนให้กับตัวเด็กได้ ในกรณีที่มีการเคลื่อนไหวออกจากจุดที่กำหนดก็จะมีการแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชันของผู้ดูแล รวมถึง Light Sensor ที่ใช้ตรวจจับการตกหล่นหรือการถอดอุปกรณ์ออก และ G sensor ที่ใช้ตรวจวัดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย

     “นอกจากนี้ก็มีฟีเจอร์ ‘Take me Home’ ที่เป็นระบบ GPS นำทางเด็กกลับบ้านโดยให้ความแม่นยำค่อนข้างสูง แต่ตอนนี้ในตัวเครื่องยังมีแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้นซึ่งเรากำลังพัฒนาภาษาอื่นๆ ตามออกมาเช่น ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาเยอรมัน และภาษาสเปน รวมถึงมีแพลนพัฒนาแอปพลิเคชันเเปลภาษาในอนาคตอีกด้วย”

     ด้านความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โพโมะก็วางระบบของพวกเขาไว้บน Amazon Cloud ทำให้การโจรกรรมข้อมูลผู้ใช้งานจึงแทบจะเป็นไปได้ยากมากถึงมากที่สุด มาพร้อมกับบริการคอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมง ซึ่งในอนาคตอันใกล้พวกเขาก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะนำระบบ Chatbot เข้ามาใช้งานทดแทนอีกด้วย

 

คลิปพรีเซนเทชั่นที่ใช้โปรโมทบนเว็บไซต์ kickstarter

 

ระดมทุนใน Kickstarter ได้มากกว่า 1 เเสนเหรียญสหรัฐ พร้อมออกไปบุกตลาดทั่วโลกด้วยโมเดลธุรกิจแบบ ‘พาร์ตเนอร์’

     ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนานาฬิกาอัจฉริยะเมื่อปี 2016 ฉัตรชัยเคยนำโปรเจกต์โพโมะ วาฟเฟิล ขึ้นไประดมทุนบนเว็บไซต์ Kickstarter โดยที่สุดแล้วพวกเขาสามารถระดมทุนได้มากกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.4 ล้านบาทภายใน 1 เดือน ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการบุกตลาดต่างประเทศให้กับโพโมะมากขึ้น

     ฉัตรชัยบอกกับ THE STANDARD ว่า “เราเริ่มวางขายนาฬิกาอัจฉริยะโพโมะตั้งแต่ปี 2015 แต่ช่วงปลายปี 2016 เราก็เริ่มไปบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น จนปัจจุบันก็เจาะตลาดได้มากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกแล้ว ทั้งอินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก, อาร์เจนตินา, ชิลี, อเมริกา,​ แคนาดา, รัสเซีย, ไต้หวัน,​ เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ เป็นต้น วิธีไปบุกตลาดของประเทศ ถ้าไม่ใช่ในประเทศที่เราอยากไปสร้างแบรนด์ที่นั่น หรืออยากไปโฟกัสด้วยตัวเอง ก็จะทำงานร่วมกับบริษัทผู้จัดจำหน่ายในประเทศนั้นๆ ให้เขาทำการตลาดให้ เพราะเราเชื่อในการทำธุรกิจแบบพาร์ตเนอร์
“ยกเว้นในอเมริกาท่ีเราตั้งใจจะเจาะตลาดเอง เราจึงไปตั้งบริษัทที่นั่น อย่างตอนนี้ก็เริ่มวางขายนาฬิกาในเว็บไซต์ Amazon ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ซึ่งในระดับของการยังไม่ทำการตลาดก็ถือว่าค่อนข้างโอเค เพราะ 2 เดือนก็ได้ยอดขายเฉลี่ยประมาณ 600 เรือน

     “ส่วนในแง่ของการเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ก็เริ่มมีการติดต่อไว้แล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างในประเทศไทย เราก็เริ่มมีการพูดคุยกับธนาคารบางแห่งในการใช้นาฬิกาของเราเพื่อทำธุรกรรมต่างๆ ส่วนที่สิงคโปร์ เราก็เริ่มพูดคุยกับโรงเรียนบางที่เพื่อทำระบบ ‘School Payment’ ใช้นาฬิกาจ่ายเงินซื้ออาหาร-ขนม และยืมหนังสือในห้องสมุดเช่นกัน”

 

 

เป้าหมายสูงสุด เบอร์หนึ่งในอาเซียน และผู้นำตลาดในสหรัฐ

     หากนับจนถึงปัจจุบัน ฉัตรชัยบอกกับเราว่าตอนนี้โพโมะมียอดผู้ใช้งานนาฬิกา (เด็ก) กว่า 50,000 คนทั่วโลก และยอดผู้ใช้งานในส่วนแอปพลิเคชัน ​(ผู้ปกครอง) ประมาณ 200,000 คน โดยเป้าหมายสูงสุดในขณะนี้คือการพานาฬิกาอัจฉริยะของพวกเขาขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งในตลาดอาเซียนให้ได้

     “ถ้าพูดในแง่ของไซส์ตลาดนาฬิกาสมาร์ตวอชสำหรับเด็ก เราก็อยากเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน เราพยายามจะทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักในระดับโลก ตอนนี้ก็เริ่มวางขายในอเมริกา เม็กซิโก ซึ่งก็ค่อนข้างได้ฟีดเเบ็กที่ดีมาก ต่อจากนี้ก็จะเริ่มขยายตลาดไปในประเทศโซนลาตินอเมริกามากข้ึน ส่วนเป้าหมายใหญ่สุดที่เป็นความฝันของผมคือการทำโพโมะให้เป็นนาฬิกาสำหรับเด็กที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในประเทศอเมริกา ส่วนประเทศจีนอาจจะเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากการเจาะตลาดประเทศเขาไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าเราไม่ใช่บริษัทท้องถิ่น

     “นอกจากนี้ความตั้งใจในการสร้างผลิตภัณฑ์ของเราก็ต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อผู้สวมใส่ แต่เราสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อครอบครัว โดยมีผู้ใช้งานคือ เด็ก​ (ในอนาคตจะมีผลิตภัณฑ์นาฬิกาโพโมะลาเต้ เพื่อผู้สูงอายุ) และผู้ปกครองที่คอยดูแลผ่านระบบเเอปพลิเคชัน ที่สำคัญเรายังมองตัวเองเป็นแค่เเพลตฟอร์มให้พาร์ตเนอร์ที่เขียนเเอปพลิเคชัน หรือนักพัฒนาแอปพลิเคชันได้ต่อยอดทำธุรกิจ สร้างสรรค์ผลงานของตัวเองได้เต็มที่ ในอนาคตเราก็วางคอนเซปต์ ‘โพโมะสโตร์’ เป็นช่องทางดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไว้แล้ว” ฉัตรชัยกล่าวทิ้งท้าย

     อาจกล่าวได้ว่า 3 ปีที่ผ่านมาของโพโมะคือช่วงที่ธุรกิจของพวกเขากำลังหัดเดินได้อย่างมั่นคง แข็งแรวและถือว่ามา ‘ถูกทาง’ พอสมควร

     ที่สำคัญตอนนี้พวกเขาก็กำลังมีโปรเจกต์ที่อยู่ในช่วงใกล้คลอดอย่างสมาร์ตโฟนสำหรับเด็ก ‘โพโมะ เมลอน’ ที่คาดว่าน่าจะเปิดตัวในเดือนสิงหาคมนี้ และนาฬิกาอัจฉริยะสำหรับผู้สูงอายุแบบไฮบริด ‘โพโมะ ลาเต้’ ที่คาดว่าน่าจะเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า

     อย่างไรก็ดี ฉัตรชัยและทีมงานส่วนใหญ่ของโพโมะยังมีความเชื่อที่ว่าผลลัพธ์เรื่องรายได้นั้นถือเป็น ‘เรื่องรอง’ เมื่อเทียบกับประโยชน์การใช้งานของตัวผลิตภัณฑ์ รวมถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคไว้วางใจในแบรนด์

     เขาบอกว่า “บางคนเดินเข้ามาซื้อนาฬิกาเด็กไปให้พ่อแม่ใช้ ทั้งๆ ที่ตัวนาฬิกาสำหรับผู้ใหญ่ของแบรนด์อื่นๆ ก็มี แต่เขาเลือกสนับสนุนแบรนด์เราเพราะความเชื่อมั่น สิ่งเหล่านี้มันเป็นกำลังใจให้คนทำงานอย่างเราไม่ท้อ ผมรู้สึกว่าค่อนข้างโชคดีที่ทีมงานของผมมองเป้าหมายเหมือนกัน

     “เราไม่จำเป็นต้องทำงานแล้วรวยที่สุดหรือยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ทำเพราะความรู้สึกภาคภูมิใจที่มีคนสนับสนุนและใช้งานผลิตภัณฑ์ของเราเป็นจำนวนมาก”

 

 

FYI
  • ราคาวางขายของโพโมะ วาฟเฟิลจะอยู่ที่ 5,990 บาท โดยสามารถหาซื้อได้ตาม iStudio, TG Phone, AIS, ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล และตามช่องทางออนไลน์ ส่วนในต่างประเทศราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 189 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,440 บาท)
  • โพโมะ วาฟเฟิล ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศ​ (อันดับ 2) ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับเด็กจากงาน CES (The Consumer Electronics Show) งานจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมประจำปีสำหรับผู้บริโภคในครั้งที่ผ่านมา
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X