สำนักข่าว Reuters รายงานว่า รายได้จากยอดขายสินค้าแบรนด์หรูในเครือ Kering Group บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นถึง 26% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งของ Gucci หนึ่งในแบรนด์หลักของ Kering โดย Gucci มีการเติบโตของยอดขายอย่างมากในภูมิภาคเอเชียและสหรัฐฯ ช่วยชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 ที่ฉุดยอดขายจากฝั่งยุโรป
ทั้งนี้ Gucci ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 60% ของรายได้ของ Kering และ 80% ของผลกำไร มีรายได้เพิ่มขึ้น 24.6% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต ที่ 19%
ด้าน Kering เปิดเผยว่า ยอดขายสินค้าแบรนด์หรูในกลุ่มเพิ่มขึ้น 83% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ 46% ในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขายออนไลน์ของ Kering ในขณะนี้คิดเป็นสัดส่วน 14% จากยอดขายทั้งหมดในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายต่างแสดงความกังวลและถอดใจกับ Gucci หลังผลประกอบการในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาตามหลังคู่แข่งอย่าง Louis Vuitton และ Hermes จนนักวิเคราะห์หวั่นว่า Gucci อาจสูญเสียสถานะดาวรุ่งหลังสามารถเติบโตได้อย่างดีในช่วง 5 ปีก่อน
ทั้งนี้ขณะที่ Gucci และ Kering ยิ้มอย่างยินดีกับข่าวดี แต่ทาง Netflix หนึ่งในผู้ให้บริการวิดีโอออนดีมานต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสัญชาติสหรัฐฯ กลับไม่สามารถยิ้มได้ถนัด เพราะแม้รายได้ในไตรมาสแรกของปีจะสามารถเติบโตได้ถึง 24% และเป็นไปตามเป้าที่คาดไว้ที่ 7,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะอยู่ที่ 7,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขจำนวนสมาชิกหน้าใหม่ หรือยอด Subscriber กลับน้อยกว่าเป้าที่ตั้งไว้มาก
สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า นักวิเคราะห์หลายสำนักตั้งเป้าว่า Netflix จะสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกได้ 6.2 ล้านคน แต่ยอดสมาชิกที่ได้กลับอยู่ที่ 3.98 ล้านคนทั่วโลก ส่งผลให้หุ้นในตลาดปรับตัวลดลงมากถึง 11% ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังมีรายงานผลประกอบการออกมา
อย่างไรก็ตามทาง Netflix ชี้แจงว่า ยอด Subscriber ในไตรมาสแรกมากกว่าเป้าที่ทาง Netflix คาดหวังไว้ว่าจะอยู่ที่ราว 1 ล้านคน ก่อนชี้แจงว่ายอดจำนวนสมาชิกหน้าใหม่เติบโตในอัตราชะลอตัว เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 และเนื้อหาคอนเทนต์ของ Netflix ที่มีความหลากหลายน้อยลง เพราะการผลิตคอนเทนต์ของบรรดาผู้ผลิตต่างๆ ต้องดีเลย์หรือหยุดชะงัก มากกว่าสาเหตุจากการที่ Netflix มีคู่แข่งในตลาดเพิ่มขึ้นอย่าง Disney+, HBO Max, Amazon Prime และ Apple TV+
ทั้งนี้ทีมผู้บริหาร Netflix คาดการณ์ว่าสถานการณ์ของบริษัท ซึ่งรวมถึงยอด Subscriber น่าจะกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ที่ทางบริษัทผู้ผลิตคอนเทนต์จะสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน Netflix ยังเปิดเผยว่า ได้อนุมัติโครงการซื้อคืนหุ้นสามัญมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่คาดว่าจะเริ่มขึ้นในไตรมาสปัจจุบัน
อ้างอิง: