การสูญเสียสมาชิกเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ Netflix จำต้องหาหนทางใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการออกแพ็กเกจใหม่ที่มี ‘โฆษณา’ อันเป็นคุณสมบัติที่ยักษ์สตรีมมิงหลีกเลี่ยงที่จะต้องเดินหนทางนี้มาตลอด
รายงานของ Bloomberg อ้างอิงคำพูดของแหล่งข่าวที่ระบุว่า แพ็กเกจที่มีโฆษณานั้นจะมีราคาอยู่ประมาณ 5-7 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นราคาครึ่งหนึ่งของแผนปัจจุบันที่ได้รับความนิยมสูงสุด ที่มีค่าใช้จ่าย 15.49 ดอลลาร์ต่อเดือนโดยไม่มีโฆษณา
ในขณะที่ผู้บุกเบิกสตรีมมิงเตรียมเปิดตัวโฆษณาเป็นครั้งแรก อีกทางหนึ่งก็พยายามสร้างสมดุลอย่างระมัดระวังระหว่างการเข้าถึงผู้บริโภคที่คำนึงถึงต้นทุนมากขึ้น พร้อมกับมอบประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ โดยโฆษณาจะมีความยาวราว 4 นาที ต่อ 1 ชั่วโมง ซึ่งน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ มาก และจะขึ้นก่อนและระหว่างที่ดูคอนเทนต์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Disney+ เพิ่ม ‘โฆษณา’ ในแพ็กเกจราคาเดิม หากไม่อยากดูต้อง ‘จ่ายเพิ่ม’ เริ่มก่อนที่อเมริกาปลายปีนี้
- ลูกค้า Netflix ลดลงเพียง 9.7 แสนราย จากที่คาดจะมากถึง 2 ล้านราย นักลงทุนปลื้มหุ้นดีด 12% เผยโฆษณาและแผนจัดการแชร์รหัสมาแน่ปี 2023
- ดูซีรีส์ Netflix แบบมีโฆษณา! มันจะออกมาในรูปแบบไหน เริ่มช่วงไหน และมันจะดีต่อใจจริงๆ หรือไม่?
Netflix วางแผนที่จะเปิดตัวตัวเลือกใหม่ที่ถูกกว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีในตลาดตัวอย่าง 6 แห่ง ส่วนการเปิดตัวเต็มรูปแบบอาจต้องรอจนถึงต้นปีหน้า แต่รูปแบบที่แน่นอนอาจจะต้องรอจนถึงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
รีด แฮสติงส์ ซีอีโอร่วมของ Netflix กล่าวเมื่อเดือนเมษายนว่า กำลังสำรวจความเป็นไปได้ของแผนที่จะรองรับโฆษณา หลังขายตัวเองมาอย่างยาวนานในฐานะทางเลือกที่เป็นมิตรกับลูกค้าเคเบิลทีวีที่อยากรับชมรายการทีวีและภาพยนตร์แบบออนดีมานด์ได้โดยไม่ต้องโฆษณา ซึ่งปกติแล้วเคเบิลทีวีมักจะมีโฆษณา 10-20 นาที ใน 1 ชั่วโมง
“บรรดาผู้ที่ติดตาม Netflix รู้ว่าเราต่อต้านความซับซ้อนของการโฆษณาและเป็นแฟนตัวยงของความเรียบง่ายของการสมัครสมาชิก” เขากล่าว พร้อมเสริมคำพูดที่มองว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลสำหรับลูกค้าที่อยากได้ราคาที่ต่ำกว่าและอดทนต่อการโฆษณาเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ
ที่ปรึกษาด้านสื่อ Ampere Analytics ประเมินว่า แพ็กเกจที่มีโฆษณาสร้างรายได้ 8.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีทั่วโลกสำหรับ Netflix ภายในปี 2027 ซึ่งรายได้นี้รวมถึงค่าธรรมเนียมการสมัครและการขายโฆษณาด้วย
Netflix กำลังเข้าสู่การโฆษณาในช่วงเวลาเดียวกับ Disney+ ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดที่กำลังขึ้นราคาในแพ็กเกจหลักและคงราคาปัจจุบันสำหรับเวอร์ชันที่รองรับโฆษณา
การขยับตัวของ Netflix ในครั้งนี้ทำให้แบรนด์ที่ลงโฆษณาต่างมองเป็นโอกาส เพราะการเติบโตของบริการแบบไม่มีโฆษณา เช่น Netflix, Amazon Prime Video และ Disney+ ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักการตลาดว่า ทีวีซึ่งครั้งหนึ่งเคยครองเม็ดเงินโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังถูกยึดครองโดยบริการที่ไม่ได้ลงโฆษณา
อ้างอิง: