การลงทุนในสุขภาพถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะเมื่อใดที่คุณมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ต่อให้คุณมีแผนชีวิตที่ท้าทายขนาดไหน พละกำลังจากร่างกายที่แข็งแกร่ง ก็พร้อมจะพาคุณไปสู่ความสำเร็จ และยังรวมไปถึงการได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนที่คุณรักไปได้อีกนานแสนนาน

เมื่อสุขภาพเป็นเรื่องที่ควรลงทุนขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่เราจะเห็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘เนสท์เล่’ ไม่เคยหยุดพัฒนานวัตกรรมในการผลิตอาหาร เพื่อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี หรือ Good food, Good life ตามพันธกิจหลักขององค์กรที่เชื่อในพลังของอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิต โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีโภชนาการเหมาะสม โดยใช้หลัก 60/40+ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างน้อย 60% จะต้องมีความพึงพอใจในรสชาติของผลิตภัณฑ์เนสท์เล่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบที่โดดเด่นในท้องตลาด พร้อมเพิ่มเติมคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม และส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีแอ็กทีฟไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี

ทว่า ในฐานะผู้นำการพัฒนานวัตกรรมเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องเป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในทุกมิติ ยิ่งพฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป เพราะโลกใบเดิมที่เสื่อมสภาพลงทุกวัน ผู้คนจึงไม่เพียงแต่ใส่ใจที่มาของอาหารที่กินเท่านั้น แต่ยังใคร่รู้ถึงวิธีการได้มา กระบวนการ และปลายทางของสิ่งที่ผู้บริโภคเลือกจะต้องไม่ทำร้ายร่างกายและไม่ทำลายโลก 

ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการสำหรับผู้ใหญ่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด 
วิคเตอร์ เซียห์ (กลาง) ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า
ซาทิช ศรีนิวาซาน (ขวา) ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายเทคนิคและอุตสาหกรรมการผลิต เนสท์เล่ อินโดไชน่า ในพิธีเปิดโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7

เนสท์เล่จึงเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมอาหารอันดับต้นๆ ที่เริ่มนำพันธกิจด้านความยั่งยืนเข้ามาอยู่ในเป้าหมายการดำเนินงาน และนำไปสู่การสร้างโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งใหม่ ชูเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก มุ่งสร้างความยั่งยืนทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ เพื่อสนับสนุนพันธกิจด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสท์เล่

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ประกาศถึง 3 พันธกิจหลักของเนสท์เล่ ในพิธีเปิดโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี ว่าโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งใหม่ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนพันธกิจด้านความยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายของเนสท์เล่ระดับโลกในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ตลอดจนลดการใช้พลาสติกที่ผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2568 และมีแผนงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593

โรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7

“ในฐานะผู้นำด้านโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เราไม่เพียงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพสูงและโภชนาการที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับผู้บริโภค แต่เรายังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตและการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โรงงานยูเอชทีแห่งใหม่นี้จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต เพราะสุขภาพดีเริ่มต้นจากอาหารที่ดี ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับดูแลรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหลัง” 

พระเอกของการขับเคลื่อนพันธกิจด้านความยั่งยืนในครั้งนี้ต้องยกให้กับเทคโนโลยีล้ำสมัย ภายในโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 แห่งใหม่ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่แห่งคุณค่าที่เปิดโอกาสให้ THE STANDARD และสื่อมวลชน ได้เยี่ยมชมอย่างใกล้ชิดภายใต้มาตรการความปลอดภัยและการรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด  

ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการสำหรับผู้ใหญ่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เล่าถึงการนำเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดผลดีต่อโลกในหลายมิติ ตั้งแต่กระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ การนำเครื่องโฮโมจีไนเซอร์ที่ใช้ในการผลิตไมโลโดยเทคโนโลยีเมมเบรนแทนระบบเก่าที่เป็นแบบลูกสูบ ส่งผลให้มีการใช้พลังงานน้อยลง และลดความถี่ในการซ่อมบำรุง จึงช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 4,420 จิกะจูลต่อปี หรือเทียบเท่าการเปิดเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU ตลอด 24 ชั่วโมง นานถึง 77 ปี  

เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้พลังงาน

“เรามีการใช้ Heat Recovery System เพื่อนำความร้อนจากไอน้ำและน้ำร้อนที่เกิดจากกระบวนการผลิตกลับมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดการใช้พลังงาน นอกจากนี้โรงงานยังเลือกใช้สารทำความเย็นที่ไม่ทำลายชั้นโอโซนในระบบการทำความเย็นของโรงงาน และยังมีการวางระบบจัดการของเสียและน้ำเสียจากการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพตามประเภทของขยะ เช่น การนำไปรีไซเคิล การนำไปสร้างเป็นพลังงานใหม่ และการนำไปทำปุ๋ย ทำให้ไม่มีของเสียไปฝังกลบ”  

และอย่างที่ทราบกันดี ไมโลยังเป็นยูเอชทีแบรนด์แรกในไทยที่เปลี่ยนไปใช้หลอดกระดาษโค้งงอได้ อีกทั้งเลือกใช้เยื่อกระดาษบริสุทธิ์ที่ย่อยสลายเองได้และปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเดินหน้าต่อด้วยการใช้นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการใช้กระดาษลูกฟูกในการบรรจุสินค้า ด้วยการออกแบบกล่องให้เป็นแบบ Wrap Around แทนกล่องพับฝาชนทั่วไป สามารถประหยัดกระดาษไปได้ 752 ตัน หรือเท่ากับกระดาษ A4 150 ล้านแผ่น พร้อมลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 142 ตัน เท่ากับถุงพลาสติก 26 ล้านใบทุกปี 

หลอดกระดาษแบบโค้งงอในผลิตภัณฑ์ไมโล ยูเอชที แบรนด์แรกในไทย 

รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ที่เนสท์เล่นำนวัตกรรมมาใช้ อาทิ นวัตกรรมซองกาแฟแบบ Mono Structure ที่ผลิตจากพลาสติกตระกูลเดียวกัน สามารถนำไปรีไซเคิลได้เป็นครั้งแรกของวงการกาแฟ หรือเนสกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มในทุกสูตร ที่เปลี่ยนจากกระป๋องเหล็กให้เป็นกระป๋องอะลูมิเนียมรีไซเคิลได้ 100% บีบอัดได้ไม่เปลืองพื้นที่ขยะ หรือความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ อย่างการลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่และดึงสีออกจากขวด ฝา และฉลาก เพื่อช่วยให้การรีไซเคิลง่ายขึ้น และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลใสยังมีราคาที่ดีกว่า นำไปผลิตวัสดุอื่นๆ ได้หลากหลาย 

เพื่อตอกย้ำการสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่แห่งคุณค่า เนสท์เล่ยังจัดกิจกรรมให้ความรู้กับนักเรียนในโรงเรียนผ่านโครงการ ‘กล่องนมรักษ์โลก’ นำร่องเกี่ยวกับการจัดการบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีภายหลังการบริโภคอย่างถูกวิธี นอกจากจะมอบความรู้เพื่อให้เด็กรู้วิธีการเก็บกล่องนมใช้แล้วเพื่อนำไปรีไซเคิล เนสท์เล่ยังหวังว่ากิจกรรมครั้งนี้จะสร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับเด็กนำไปสู่พฤติกรรมแยกขยะ และเมื่อเยาวชนเหล่านี้เติบโต จะสามารถส่งต่อแนวคิดนี้ไปสู่คนรุ่นหลังต่อไป โดยบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีที่จัดเก็บอย่างถูกวิธีจะนำกลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้องต่อไป  

กล่องแบบ Wrap Around แทนกล่องพับฝาชนทั่วไป ลดปริมาณการใช้กระดาษลูกฟูกในการบรรจุสินค้า

แผนการขับเคลื่อนพันธกิจความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่แห่งคุณค่าภายในโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 ในลำดับถัดไปคือการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในปี 2564 โดยจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่หลังคาโรงงานและที่จอดรถ ซึ่งมีการวางแผนตั้งแต่ตอนก่อสร้างโรงงาน หลังคาจึงมีความพร้อมสำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ รวมไปถึงมีแผนจะเปลี่ยนมาใช้กาวกันกล่องลื่น ทดแทนการใช้ฟิล์มพลาสติกที่ใช้ยืดพันพาเลตในขั้นตอนการขนส่ง พร้อมทั้งลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ ด้วยการใช้ฟิล์มหุ้มบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล 30% 

การได้เห็นก้าวสำคัญของเนสท์เล่ครั้งนี้ ในฐานะผู้บริโภคที่เติบโตมากับผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ รู้สึกดีที่ได้เห็นและรับรู้ว่าทุกการบริโภคของเรานั้น อย่างน้อยก็ได้มีส่วนร่วมในการทำให้โลกดีขึ้น ผ่านการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม และแน่นอนว่าในมุมของอุตสาหกรรมอาหารทั้งประเทศ การเปิดตัวโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 จะกลายเป็นต้นแบบของโรงงานที่ส่งเสริมความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่แห่งคุณค่าในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน