×

‘คนเสื้อแดงไม่ได้กลับมา เพราะคนเสื้อแดงไม่เคยหายไป’ เมื่อณัฐวุฒิ-จตุพร โคจรมาพบกันในวันที่เหมือนเส้นขนาน

โดย THE STANDARD TEAM
23.04.2021
  • LOADING...
‘คนเสื้อแดงไม่ได้กลับมา เพราะคนเสื้อแดงไม่เคยหายไป’ เมื่อณัฐวุฒิ-จตุพร โคจรมาพบกันในวันที่เหมือนเส้นขนาน

วานนี้ (22 เมษายน) สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) จัดงานเสวนา ‘The Return of the Red Shirts and its meaning for Thai politics’ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), มายด์-ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ผู้ปราศรัยในประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแหลมคมระหว่างการชุมนุม #ม็อบ24มีนา​ ที่แยกราชประสงค์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำผู้ชุมนุมการเมืองที่เรียกตัวว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมการเสวนา

หากนิ่งเฉยไม่ทำอะไร ประยุทธ์จะอยู่ต่อไปอีก 6 ปี

จตุพรกล่าวว่า ตนเชื่อว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือศูนย์กลางของปัญหา ตนเคารพการตัดสินใจของคนหนุ่มสาว และไม่ได้ออกมาลดทอนใดๆ แต่เห็นว่าการสืบทอดอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์ หากไม่ทำอะไร จะอยู่ต่ออย่างน้อยอีก 6 ปี จึงจะต้องนำ พล.อ. ประยุทธ์ ออกไปก่อนเป็นอย่างแรก ทั้ง พล.อ. ประยุทธ์ ยังเป็นปัญหาของมาตรา 112 ด้วย โดยในอีก 30 วัน จะครบ 7 ปีที่ พล.อ. ประยุทธ์ ยึดอำนาจ ซึ่งที่ผ่านมานั้นไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองสัญญาไว้กับประชาชนได้เลย

“พล.อ. ประยุทธ์ ก็เหมือนเผด็จการทั้งโลก คือใช้วิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง ประวัติศาสตร์การต่อสู้ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ใดๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของพี่น้องเสื้อแดงที่เสียชีวิตมากที่สุดในการต่อสู้ทางการเมืองไทย หรือประวัติศาสตร์กลุ่มอื่นๆ เวลานี้คือเรื่องเฉพาะหน้า ต้องเอาประยุทธ์ออกไปก่อน เชื่อว่าคนใหม่ก็ไม่กล้าทำเหมือน พล.อ. ประยุทธ์”

สิ่งสำคัญในเวลานี้คือรัฐดำเนินคดีกับคนหนุ่มสาวโดยเชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ คดีทางการเมืองที่ผ่านมา 15 ปี ปัญหาสำคัญคือการคัดค้านการประกันตัว กลุ่มการเมืองใหญ่ๆ ทั้งสามกลุ่มยังได้รับการประกันตัว แต่ผู้ต้องหาคดี 112 ไม่ได้รับการประกันตัว ถ้าเราสร้างความยุติธรรมไม่ได้ ปัญหาจะไม่มีวันจบ ย้ำว่าตนไม่มีปัญหากับคนหนุ่มสาว พล.อ. ประยุทธ์ คือปัญหา คนที่สร้างปัญหาให้สถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุดคือตัว พล.อ. ประยุทธ์ ถ้าจัดการ พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้ ก็ไม่มีทางจัดตั้งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้

จตุพรกล่าวต่อไปว่า สิ่งแรกที่ตนเห็นว่าต้องจัดการเป็นลำดับแรกคือเผด็จการที่แข็งแรงที่สุดนั้นต้องออกไปก่อน จากนั้นเป็นเรื่องที่สังคมต้องมีฉันทามติร่วมกันว่าจะจัดการต่อไปอย่างไร ส่วนตัวเชื่อว่าคนที่มาใหม่จะไม่ใช้อำนาจได้เท่า พล.อ. ประยุทธ์ วันนั้นจึงจะเป็นการเริ่มต้นที่ประชาชนจะได้สถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชนที่แท้จริง ถ้าคนไทยยังยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็จะมีการรัฐประหารอีก ส่วนตัวเห็นว่าถ้าปล่อยให้ พล.อ. ประยุทธ์ อยู่ต่อ จะได้เผด็จการที่แข็งแรงที่สุดในไทยอยู่ต่อ

เรามีความหวังเดียวที่จะจัดการกับ พล.อ. ประยุทธ์ ได้คือเมื่อคนไทยร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องสามัคคีกันอย่างถาวร เมื่อจัดการ พล.อ. ประยุทธ์ เสร็จก็ทะเลาะกันต่อไปได้ แต่ถ้าปล่อยให้ พล.อ. ประยุทธ์ ปกครองต่อไปก็จะเกิดผลเสียต่อคนไทยทุกกลุ่มอย่างแน่นอน ตนขอการันตีว่าหากยังมี พล.อ. ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้

“ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อ 29 ปีก่อน ก็มีการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประชาชนก็ทำสิ่งที่เรียกร้องได้ทั้งหมดในเวลาเพียง 2 วันเท่านั้น เราต้องซื้ออนาคต ถ้าปัจจุบันเราอยู่กับ พล.อ. ประยุทธ์ เราจะแก้ไขปัญหาใดๆ ไม่ได้ เพราะมีผู้นำที่ตระบัดสัตย์มากที่สุด พล.อ. สุจินดา โกหกเพียงครั้งเดียวคนไทยก็ไม่ให้อภัยแล้ว แต่ พล.อ. ประยุทธ์ โกหกหลายครั้ง แต่ผู้คนก็ยังให้อภัย นี่จึงเป็นการเดิมพันอนาคตว่าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างไร

“เวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แม้จะต้องแลกกับอิสรภาพอีกรอบก็ตาม เชื่อว่าหลังสถานการณ์ของโรคโควิด-19 คลี่คลาย และ พล.อ. ประยุทธ์ ยังอยู่ จะมีการชุมนุมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ขึ้น เพราะมันเป็นความหวังเดียว หากมีช่องทางอื่นที่สร้างความหวังได้ คนก็ไม่เลือกช่องทางนี้ สรุปว่าการชุมนุมนั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน” จตุพรกล่าว

 

ความแตกต่างหลากหลายทางความคิดคือความงดงามของประชาธิปไตย

มายด์ ภัสราวลี กล่าวว่า ประชาธิปไตยในสังคมมีจุดเด่นที่ความแตกต่างหลากหลาย เราไม่อาจกำหนดให้ทุกคนคิดในแนวทางแบบเดียวกันได้ แต่ต้องเคารพความเห็นของกันและกันมากกว่า

ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มจตุพรที่เรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่ง คนที่ยังหวงแหนความเป็นประชาธิปไตยคงเห็นตรงกันว่า พล.อ. ประยุทธ์ เป็นศัตรูของประชาธิปไตย แต่สังคมตอนนี้ตนมองว่ามีปัญหาทางปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้การเมืองซับซ้อน ข้อเรียกร้องที่คนรุ่นนี้เห็นตรงกันคือเรื่องการเกี่ยวโยงกันกับสถาบันกษัตริย์กับการเมืองไทย คิดว่าเรื่องนี้สำคัญและต้องพูดถึง ให้ข้อมูลเพื่อให้เกิดการเรียนรู้กันขึ้นเรื่อยๆ ต้องทำให้สังคมนี้สามารถดำเนินไปได้ภายใต้กรอบประชาธิปไตยที่ประชาชนอย่างเราๆ มีสิทธิมีเสียงมากพอในสังคมและเป็นอิสระจากชนชั้นนำ ทุกๆ เรื่องจำเป็นต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับเรื่องการให้ข้อมูลและความรู้เรื่องความเกี่ยวโยงกับสถาบันฯ และการเมือง แต่สิ่งที่คนทุกรุ่นเห็นตรงกันคือตอนนี้สังคมไทยไม่มีความยุติธรรมแล้ว ประชาชนจึงมีหน้าที่ทวงคืน ปกป้อง และซ่อมแซมประชาธิปไตยที่กำลังจะหายไปในสังคมไทย

 

“เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในทุกข้อเรียกร้องก็ได้ แต่เวลานี้เรามีปัญหาเดียวกันที่ต้องจัดการคือรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการทำรัฐประหาร ส่วนนี้จึงเป็นส่วนที่เรามีร่วมกัน แล้วขบวนการต่อสู้ทางประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน แต่ต้องร่วมมือกันเคลื่อนไหวหลายๆ ทางให้ชนชั้นนำตระหนักได้ว่า แม้ประชาชนจะมีหลายก๊ก หลายเหล่า แต่ก็มีพลังอำนาจอยู่ในมือเช่นกัน” ภัสราวลีกล่าว

สิ่งที่เราทำได้คือการเอาความจริงให้ทุกคนเห็นว่าสังคมไทยเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วให้ผู้คนตัดสินเองว่านี่คืออนาคตที่พวกเขาอยากได้หรือไม่ สิ่งสำคัญคือเราเห็นกันอยู่แล้วว่าคนไทยไม่มีอิสระมากพอในการได้รับผลประโยชน์และโอกาสในการลืมตาอ้าปากอย่างเท่าเทียมกัน เราจึงจำเป็นต้องพูดเรื่องความเท่าเทียม การต่อต้านรัฐประหาร เรื่องรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวกำหนดอำนาจผู้คนไว้ และสิ่งสำคัญมากที่สุดตอนนี้คือเราจำเป็นต้องช่วยกันทลายกำแพงที่ชนชั้นนำสร้างขึ้นมาขวางชนชั้นรากหญ้า เพื่อให้เรามีโอกาสมากขึ้นและได้กำหนดทิศทางของตัวเองมากขึ้น

ด้าน 3 ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลนั้นก็ยังยืนยันเช่นเดิม และเชื่อว่าเป็น 3 ข้อในใจใครหลายๆ คนเช่นกัน แต่ในปีนี้หลายคนคงไม่ยึดติดกับคำว่า 3 ข้อ หรือ 2 ข้อ หรือ 1 ข้อ แต่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือเสรีภาพทางความคิดของเรา และจะหยุดพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ไม่ได้เลย เพราะจะทำเป็นไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาในสังคมไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ

สำหรับเพื่อนที่ยังอดอาหาร เช่น เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ตนยืนยันว่า เพื่อนก็พยายามทำทุกทางเพื่อต่อสู้ แม้ชนชั้นนำหรือรัฐบาลจะไม่เคยเหลียวแลเลย แต่สิ่งที่เพื่อนทำในเรือนจำกลับส่งพลังมาถึงข้างนอก ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ให้ทุกคนเห็นความตั้งใจของทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ และขยายความจริงออกไปให้ทั่วโลกได้รู้ว่าตอนนี้ในไทยมีคนที่คิดต่างและถูกจับกุม แต่ก็ยังพยายามทำทุกทางจากในเรือนจำ เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีความไม่ชอบธรรมเกิดขึ้น

คนเสื้อแดงไม่ได้กลับมา เพราะคนเสื้อแดงไม่เคยหายไป

ณัฐวุฒิกล่าวว่า การจะกลับมาได้ต้องหายไปก่อน แต่ตนคิดว่าคนเสื้อแดงไม่เคยหายไปไหน พวกคุณยังเห็นพวกเขาร่วมต่อสู้ในขบวนการของคนหนุ่มสาวตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนถึงปัจจุบัน ที่ไหนมีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่นั่นก็มีคนเสื้อแดง พวกเขายังอยู่หลังจากถูกยิงตายเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนยืนยันว่าพวกเขายังอยู่ พวกเขายังถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนของความอยุติธรรม มีคนถูกฆ่าครั้งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์การเมืองไทยและเรื่องยังไม่ถึงศาล ตนคิดว่าไม่ว่าพวกเขาจะใส่เสื้อสีอะไรออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย พวกเขาจะยังเป็นคนเสื้อแดง เพราะบาดแผลและภาระที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ โดยยังไม่ได้ถูกชำระทั้งในทางข้อเท็จจริงและความยุติธรรม

สถานการณ์การเมืองขณะนี้ต้องยอมรับว่ามันซับซ้อนมากกว่า 10 ปีที่แล้ว การต่อสู้โดยมีคนเสื้อแดงเป็นขบวนหลักในการเรียกร้องประชาธิปไตยไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาหลายปีมาก โดยเฉพาะช่วงที่ตนอยู่ในเรือนจำ คนเสื้อแดงที่เขาออกมาก็ออกมาในฐานะปัจเจกชนที่ยังออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ดังนั้นคนเสื้อแดงจึงไม่ได้กลับมา เพราะพวกเราไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ถ้าพูดถึงองค์กรนำของคนเสื้อแดงที่เคยมีบทบาทสำคัญของการต่อสู้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ นปช. ต้องยอมรับว่าสภาพองค์กรนำของ นปช. ไม่ได้ดำรงอยู่ในทางความเป็นจริงกว่า 2 ปีแล้ว

วันนี้ในการแสดงบทบาทเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของแกนนำ นปช. จึงเป็นการตัดสินใจและขับเคลื่อนในลักษณะปัจเจกชน จตุพรมีเสรีภาพโดยชอบที่จะตัดสินใจ ตนและแกนนำ นปช. คนอื่นๆ ก็มีเสรีภาพโดยชอบที่จะยืนอยู่ตรงไหน ประกาศการต่อสู้ในแนวทางใดก็ได้ เวทีที่จตุพรและคณะดำเนินการอยู่ ตามหลักการแล้วตนคิดว่าไม่มีอะไรขัดแย้งกับแนวทางเดิมของ นปช. ที่ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบมาตั้งแต่แรก และผู้ที่มาร่วมปราศรัย ตราบเท่าที่เขาต่อต้านเผด็จการตนก็ถือว่าเป็นมิตรกัน

แต่เนื่องจากตนไม่ได้ร่วมปรึกษาความเป็นมาของเวทีดังกล่าว จึงขอเป็นผู้ติดตามความเคลื่อนไหวเท่านั้น ส่วนตัวมิตรภาพความเป็นพี่น้องก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่วันเดียว แต่ในทางการขับเคลื่อนการต่อสู้ทางการเมืองก็ดังที่เรียนไปแล้ว

ณัฐวุฒิกล่าวต่อไปอีกว่า ตนเป็นผู้พูดมาตลอดเวลา 10 กว่าปี แต่เป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันตนเป็นผู้ฟัง อย่างน้อยที่สุดก็ตลอดเวลา อย่างน้อยที่สุดก็ 6 เดือน ในเรือนจำและ 3 เดือน กับการติดกำไล EM วันที่เป็นผู้พูดแล้วยืนบนเวทีต่อสู้ ก็อาจมีแนวทางการเคลื่อนไหวแบบหนึ่ง แต่เมื่อวันนี้บทบาทการต่อสู้เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวที่จะเติบโตไปรับผิดชอบอนาคตของประเทศ ตนก็จะเป็นผู้รับฟัง ข้อเรียกร้องจะกี่ข้อและประกาศโดยใคร สำหรับตนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือวันนี้คนในสังคมไทยคิดอะไร สถานการณ์ของประเทศไทยกำลังเจอกับอะไรอยู่ต่างหาก ส่วนตัวเห็นว่าคนหนุ่มสาวในยุคที่กำลังต่อสู้อยู่นี้แสดงวิธีคิดออกมาอย่างชัดเจนว่ามองสังคมไทยแบบไหน ขณะเดียวกันเด็กที่กำลังโตขึ้นมาก็มีแนวโน้มว่าจะคิดไปในทิศทางเดียวกัน เราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือเสียงเรียกจากอนาคต เป็นอนาคตที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางการเมืองและการต่อสู้นาน 10 กว่าปีของคนรุ่นตน การประกาศจุดยืนเคียงข้างคนหนุ่มสาวของตนจึงเป็นการพยายามแสดงความรับผิดชอบต่อคนหนุ่มสาวต่อสิ่งที่พวกตนมอบให้

“สถานการณ์ของสังคมไทยนั้นตนคิดว่าสังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรือน่ากลัว เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์และไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ ตนคิดว่าเป็นเวลาที่คนทุกรุ่น ทุกฝ่ายในสังคมไทยต้องช่วยกันคิดว่าเราจะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร โดยอยู่ร่วมกันและไม่โค่นล้มทำลายกันและกัน เราทำให้ประยุทธ์หายไปได้ แต่ทำให้วิธีคิดของผู้คนและกระแสความเปลี่ยนแปลงหายไปจากสังคมไทยได้ เราทำให้เพนกวิน รุ้ง และมายด์ หายไปก็ได้ แต่วิธีคิดของผู้คนและความเปลี่ยนแปลงก็จะยังอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พยายามทำคือการไม่ทำให้ทุกคนหายไป ต้องทำให้ทุกคนอยู่กับความจริงและความเปลี่ยนแปลงให้ได้ และความปรารถนาดีต่อกันให้ได้เท่านั้น” ณัฐวุฒิกล่าว

ณัฐวุฒิกล่าวต่อไปอีกว่า ตนจะเข้าร่วมกับเวทีไหนนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเป็นประโยชน์ต่อสังคมและสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมให้สงบในบทบาทที่เหมาะสม ก็อาจจะขึ้นเข้าร่วม เพราะในเวลานี้เป็นการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวที่เขาแสดงความกล้าหาญ มุ่งมั่นกันอยู่

ส่วนตัวที่เป็นคนที่มาจากอดีตก็ควรกำหนดบทบาทของตัวเองให้ชัด อย่าสร้างความสับสนให้ปัจจุบัน แต่ตนไม่ทิ้งคนรุ่นใหม่แน่นอน และที่พยายามทำคือแกนนำของพวกเขาควรได้รับสิทธิประกันตัวสู่อิสรภาพโดยทันที ส่วนตัวคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือทำให้นายกฯ พูดชื่อวัคซีนให้ถูกเท่านั้นเอง

เรื่องการอดอาหารของเพนกวินและรุ้งในเรือนจำ ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าการอดอาหารของเพนกวิน รุ้ง และเพื่อนๆ ในวันนี้ ไม่ส่งผลกดดันต่อรัฐบาลหรือต่อผู้มีอำนาจกลุ่มใดก็ตาม ทั้งระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป ทั้งสุขภาพ ทั้งความรัก ความผูกพันของพ่อแม่ ประชาชน และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นแรงเสียดทานในความรู้สึกของคนที่รักและห่วงใยพวกเขามากกว่า แต่ก็ต้องอยู่กับความจริงและภาวนาว่าให้พวกเขาปลอดภัยจนกว่าจะเปลี่ยนการตัดสินใจหรือได้รับอิสรภาพ

 

พิสูจน์อักษร: ชฎานิสภ์ นุ้ยฉิม

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising