×

น้ำหนึ่ง-เนย BNK48 การเติบโตตลอด 6 ปี และความสัมพันธ์ที่อยากรักษาไว้ ‘ตลอดไป’

23.11.2022
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • The Cheese Sisters คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก iAM FILMS และ Studio Commuan ที่แบ่งเรื่องราวออกเป็น 4 พาร์ตตามกระบวนการทำชีส โดยได้ 8 สมาชิกจาก BNK48 และ CGM48 มารับบทนำ ได้แก่ น้ำหนึ่ง-มิลิน ดอกเทียน และ เนย-กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล ในพาร์ต Dairy Farmer, ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร และ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ ในพาร์ต Cheese Maker, วี-วีรยา จาง และ ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา ในพาร์ต Deliver, มามิ้งค์-มาณิฌา เอี่ยมดิลกวงศ์ และ คนิ้ง-วิทิตา สระศรีสม ในพาร์ต Baker โดยภาพยนตร์มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้
  • จากบทบาทการแสดงที่ผ่านมา ทำให้น้ำหนึ่งได้ทำความเข้าใจแง่มุมของมนุษย์มากยิ่งขึ้น รวมถึงได้สำรวจความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองอย่างแท้จริง ขณะที่เนยได้ค้นพบว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเธอในตอนนี้คือครอบครัว 
  • น้ำหนึ่งเล่าว่า แฟนคลับคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เธอสามารถข้ามผ่านคำพูดแย่ๆ มาได้ รวมถึงยังเป็นแรงผลักดันให้เธอเชื่อมั่นในตัวเองและเดินหน้าต่อไปในเส้นทางนี้ เพื่อแฟนคลับที่เชื่อมั่นและเป็นกำลังใจให้เธอเสมอ
  • เนยเล่าว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีของการเป็น BNK48 เธอให้ใจกับทุกงานที่ทำอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นในช่วงสุดท้ายของการเป็น BNK48 เธอจึงรู้สึกพอใจและมีความสุขกับการยืนอยู่ตรงนี้แล้ว

 

“เรื่องราว…แห่งการเติบโตของทุกความสัมพันธ์”

 

นี่คือประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่งที่ปรากฏในตัวอย่างของ The Cheese Sisters ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากค่าย iAM FILMS และ Studio Commuan ที่หยิบนำกระบวนการทำชีสมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว ‘ความสัมพันธ์’ และ ‘การเติบโต’ ของหญิงสาว 4 คู่ โดยได้ 8 สมาชิกจาก BNK48 และ CGM48 มารับบทนำ ได้แก่ น้ำหนึ่ง-มิลิน ดอกเทียน และ เนย-กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล ในพาร์ต Dairy Farmer, ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร และ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ ในพาร์ต Cheese Maker, วี-วีรยา จาง และ ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา ในพาร์ต Deliver และ มามิ้งค์-มาณิฌา เอี่ยมดิลกวงศ์ และ คนิ้ง-วิทิตา สระศรีสม ในพาร์ต Baker 

 

และวันนี้ THE STANDARD POP ได้มีโอกาสมานั่งพูดคุยกับน้ำหนึ่งและเนย เกี่ยวกับบทบาทการแสดงที่พวกเธอได้รับในครั้งนี้ พร้อมชวนทั้งคู่มาร่วมถอดบทเรียนจากการแสดงที่ทำให้พวกเธอได้เข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น 

 

รวมถึงการทบทวนเรื่องราวการเติบโตตลอด 6 ปีบนเส้นทางสายไอดอล ที่นำพาให้น้ำหนึ่งและเนยได้โคจรมาเจอกับแฟนคลับที่ถือเป็นกำลังใจสำคัญให้พวกเธอข้ามผ่านอุปสรรคมากมายมาได้ พร้อมทั้งเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่และเมมเบอร์ BNK48 รุ่น 1 ที่พวกเธออยากจะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ ‘ตลอดไป’

 


บทความที่เกี่ยวข้อง:


 

ภาพ: iAM FILMS

 

ภาพยนตร์ The Cheese Sisters น้ำหนึ่งและเนยได้ร่วมแสดงในพาร์ต Dairy Farmer บทบาทที่แต่ละคนได้รับเป็นอย่างไรบ้าง  

 

เนย: เนยจะรับบทเป็น เฟิร์น ค่ะ เฟิร์นเขาจะเป็นนักศึกษาที่เรียนอยู่คณะสัตวศาสตร์ แต่จู่ๆ ก็เกิดเหตุที่ทำให้เฟิร์นต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว และต้องมาดูแลฟาร์มโคนมของครอบครัว ซึ่งเฟิร์นก็จะต้องจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามา แต่เขาก็จะมีเพื่อนสนิทอย่าง ฝน ที่จะคอยอยู่ข้างๆ เรา ให้เราผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้โดยมีเขาอยู่ข้างๆ ค่ะ

 

น้ำหนึ่ง: ส่วนน้ำหนึ่งจะรับบทเป็น ฝน ค่ะ ฝนจะเป็นเพื่อนกับเฟิร์นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วด้วยความที่เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เขาเลยจะเป็นคนที่คอยซัพพอร์ตเฟิร์นเสมอ ไม่ว่าเฟิร์นจะมีปัญหาอะไรก็ตามก็จะคอยอยู่ข้างๆ เฟิร์น ให้เขาผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้ 

 

คาแรกเตอร์ที่เราได้รับมีจุดที่เหมือนหรือแตกต่างไปจากตัวเราเองมากน้อยขนาดไหน 

 

เนย: สำหรับหนูสิ่งที่คิดว่าเหมือนคือเฟิร์นเขาจะเป็นคนที่มีความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่ เขาถึงต้องได้รับแรงซัพพอร์ตจากฝนค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเลยคือเป็นคนนิ่ง มีความเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งส่วนตัวหนูจะเป็นคนที่ยิ้มเยอะ เวลาถ่ายทำพี่ผู้กำกับเลยจะบอกหนูตลอดว่าขอยิ้มน้อย ขอขรึมกว่านี้ ขอดูมีมาดกว่านี้ ซึ่งมันยากมากสำหรับหนูในการวางมาดขรึมๆ ก็เลยรู้สึกว่าเล่นยากมากๆ  

 

น้ำหนึ่ง: ของน้ำหนึ่งก็คล้ายๆ กันค่ะ คือจะมีความเหมือนในแง่ของการสร้างรอยยิ้ม แต่หนูก็จะเป็นคนมีมาด ปกติหนูจะไม่ใช่คนที่แบบ “แกสู้ๆ นะ” ไม่ใช่แบบนั้น แล้วหนูจะเป็นคนหน้าเศร้า เป็นคนที่ไม่ค่อยยิ้ม แล้วพี่ผู้กำกับก็จะบอกว่า น้ำหนึ่งขอสดใส ขอแววตาที่สดใสกว่านี้ ก็จะมีความเหมือนและแตกต่างกันในมุมนี้ 

 

ถ้าให้ลองเปรียบเทียบกับบทบาทก่อนหน้าที่เคยได้รับ มีความแตกต่างจากบทบาทใน The Cheese Sisters อย่างไรบ้าง 

 

เนย: สำหรับหนูรู้สึกว่าระหว่าง The Cheese Sisters กับ ไทบ้านฯ (ไทบ้าน x BNK48 จากใจผู้สาวคนนี้) จะค่อนข้างคล้ายกันมาก ด้วยพื้นที่ถ่ายทำหรือว่าการดำรงชีวิต ชุดที่ใส่ สภาพแวดล้อม มันทำให้เรามีความรู้สึกคล้ายๆ กัน แต่จุดที่ต่างมากๆ คือการโฟกัสอารมณ์ที่มากขึ้น อย่างตอน ไทบ้านฯ จะเล่าถึงกลุ่มเพื่อนหลายคน แล้วเราก็เล่นเป็นตัวเองด้วย แต่พอเรามาเล่นกันสองคน กล้องก็จะจับมาที่เราสองคนชัดขึ้น การสื่อสารทางอารมณ์ของเราก็เลยจะต้องใหญ่ขึ้น เพราะหนังทั้งเรื่องคนจะโฟกัสแค่เราเท่านั้น 

 

น้ำหนึ่ง: ของหนูค่อนข้างจะไม่เหมือนกับเรื่องนี้เลย อย่าง ป่าน ใน Where We Belong ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บเงียบ เก็บตัว หรือ สาระปี ใน ผ้าผีบอก ก็จะเป็นคนที่แสดงออกชัดเจนทางอารมณ์ จะด่าก็คือด่าเลย ไม่ใช่คนสดใส เป็นคนร้ายๆ แบบโจ่งแจ้ง พอมาเรื่องนี้จะมีความเป็นคนดีนิดหนึ่ง เป็นคนที่คอยให้กำลังใจเพื่อน คอยอยู่ข้างๆ เพื่อนเสมอ 

 

ภาพ: iAM FILMS

 

จากหลายๆ บทบาทที่เคยได้รับมาจนถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งสองคนได้ค้นพบหรือได้เรียนรู้อะไรจากการแสดงบ้าง 

 

น้ำหนึ่ง: ด้วยความที่พวกเรายังไม่ได้แสดงผลงานกันมาเยอะขนาดนั้น แต่หนูรู้สึกว่าการที่เราได้ไปสวมบทบาทในแต่ละครั้ง มันทำให้เราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น อย่างเช่น ทำไมคนนี้เขาถึงพูดแบบนี้กับเรา ทำไมเราถึงรู้สึกไม่ดีกับคำพูดคำนี้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะรู้สึกว่า เขาน่าจะมีเหตุและผลอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเติบโตมาเป็นแบบนั้น มีนิสัยแบบนั้น หรือมีการแสดงคำพูดแบบนั้น ก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

 

และในบางทีสมมติเราทำสมาธิกับตัวเองมากๆ มันทำให้เราเหมือนรู้ความคิดลึกๆ ข้างในของตัวเอง ความคิดที่เราไม่กล้าที่จะบอกคนอื่นออกไป สิ่งที่เราคิดจริงๆ ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง น้อยใจ เสียใจ อิจฉา อะไรแบบนี้

 

เนย: ส่วนของหนูจะคล้ายๆ กันตรงที่เรายังได้แสดงในคาแรกเตอร์ใกล้ๆ กับเราอยู่ หนูยังไม่ได้มีโอกาสไปลงลึกในคาแรกเตอร์อื่นๆ เท่าไร แต่จากที่เคยได้ลองแสดงมา ทำให้ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่อินกับเรื่องความสัมพันธ์มากๆ ที่เป็นอันดับหนึ่งเลยคือความสัมพันธ์ครอบครัว จะเป็นคนที่เซนซิทีฟมากๆ กับเรื่องครอบครัว อย่างใน ไทบ้านฯ จะเป็นความสัมพันธ์กับเพื่อน แต่ในเรื่องนี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับครอบครัวเยอะมาก ล่าสุดหนูไปลงเสียงมา ซึ่งเราต้องมองพี่นักแสดงที่เล่นเป็นพ่อผ่านหน้าจอ แล้วพอเราเห็นหน้าเขาหันมายิ้มให้ ตอนนั้นหนูน้ำตาไหลออกมาเลย เรารู้สึกว่าคนนี้คือพ่อของเราจริงๆ ก็เลยทำให้ค้นพบตัวเองว่า ณ เวลานี้สำหรับหนูครอบครัวคืออันดับหนึ่ง  

 

และด้วยความที่ตัวละครของหนูจะเกี่ยวพันกับครอบครัวค่อนข้างเยอะ พอต้องมาแสดงเป็นเฟิร์นที่จู่ๆ ก็ต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว มันทำให้เราได้ซึมซับความรู้สึกของเฟิร์นว่า เราไม่ได้แค่ต้องรักษาความมั่นคงภายในบ้านอย่างเดียว แต่เราต้องรักษาความรู้สึกของคนในบ้านด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับตัวหนูในชีวิตจริง หนูจะไม่ค่อยหนักใจกับเรื่องพวกนี้ แต่พอมาอยู่ในบท มันทำให้เราเครียดไปพร้อมกับตัวละครจริงๆ ว่า ถ้าเป็นเราจริงๆ เราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ การได้มาแสดงในเรื่องนี้เลยทำให้เราได้สำรวจชีวิตตัวเอง ณ ตอนนี้ด้วย  

 

 

อย่างที่เราได้เห็นในตัวอย่างว่า The Cheese Sisters มีเนื้อหาที่พูดถึง ‘การเติบโตและความสัมพันธ์’ เราจึงอยากลองชวนทั้งคู่มาทบทวนการเติบโตของตัวเองกัน ย้อนกลับไปตั้งแต่วัยเด็ก วัยเด็กของทั้งคู่เป็นแบบไหน 

 

น้ำหนึ่ง: ถ้าในวัยเด็ก หนูจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้อาย ขี้อายในเรื่องการแสดงออก แต่ก็จะเป็นเด็กที่ตลกโปกฮา ด้วยความที่มีเพื่อนผู้ชายเยอะในตอนเด็กๆ ทั้งพี่ ทั้งเพื่อนแถวบ้าน ค่อนข้างที่จะไปไหนไปกัน เป็นคนลุยๆ พี่พาไปลงน้ำก็ลง จมน้ำก็จมอะไรอย่างนี้ แล้วด้วยความที่เราติดนิสัยลุยๆ แบบนี้มั้งคะ มันเลยทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ เวลาอยากทำอะไรก็รู้สึกว่าต้องลองทำ เรากลัวนะแต่ก็อยากลองทำ 

 

แล้วก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะมีความฝันเยอะมากๆ อย่างเช่น หนูเคยอยากเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย แล้วพอเราได้ไปลองแล้วรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ทางของเรา แล้วก็เคยอยากไปเรียนเกี่ยวกับทหาร แล้วก็ได้ไปลองทำมันอย่างเต็มที่เหมือนกัน ทั้งไปเรียน รด. ไปเรียนโน่นนี่นั่น อีกอันหนึ่งที่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ คืออยากเป็นนักร้อง ชอบการเต้นการร้องค่ะ  

 

เนย: วัยเด็กของหนูจะเป็นคนขี้อายเหมือนกันค่ะ แต่ว่าสิ่งที่ไม่เหมือนเลยก็คือเป็นคนขี้กลัวด้วย กลัวทุกอย่าง หมายถึงว่าสิ่งที่มันหวาดเสียว หรือแม้กระทั่งกลัวในความคิดของคนอื่นที่มองเรา แล้วก็เป็นคนที่ชอบอยู่ในเซฟโซนของตัวเอง แต่ก่อนเรารู้มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าตัวเองชอบดูคลิปเต้น ชอบดูคนคัฟเวอร์ รู้มาตลอด แต่เราก็กลัวที่จะทำ เราก็เลยดูเฉยๆ 

 

จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่เราต้องตัดสินใจเลือกระหว่างเรียนพิเศษที่เป็นวิชาการกับอยากเรียนเต้น ณ ตอนนั้นเป็นช่วงมัธยมปลายที่หนูจะต้องตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งส่วนตัวหนูจะเป็นคนที่ไม่ชอบสายวิชาการหรือสายวิทย์เท่าไร จะชอบการเต้นมากกว่า แต่ว่าสุดท้ายแล้วตอนมัธยมปลายหนูก็เลือกเข้าสายวิทย์-คณิต ทั้งๆ ที่หนูเกลียดคณิตที่สุดในชีวิตเลย แต่ว่าก็ทนเรียนเพราะเรารู้สึกว่ามันน่าจะมั่นคงมากกว่า จนกระทั่งจะเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่ว่าเราไม่ได้ชอบวิทย์-คณิต แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเลือกคณะอะไรด้วย ก็เลยรู้สึกว่าจะต้องเลือกคณะที่เกี่ยวกับวิทย์ที่เราเรียนมา เลยตัดสินใจยื่นคะแนนแอดมิชชันเข้าคณะวิทย์เหมือนเดิม เป็นวิทย์ชีวะที่รู้สึกว่าเราน่าจะชอบที่สุดใน 3 ตัว ใช้คำว่าทนไหม ก็ไม่ขนาดนั้น รู้สึกฝืนมากกว่า พยายามเลี่ยงว่าจะไม่ไปในสายที่เราอยาก เพราะคิดว่าเราอาจจะทำได้ไม่ดี หรือว่าไม่มั่นคงกับเราในอนาคตมากกว่า 

 

หลังจากนั้นเราก็เข้า BNK48 

 

เนย: ใช่ค่ะ ด้วยความที่มหาวิทยาลัยจะเรียนลึกมากในคณะวิทย์ มันทำให้เรายิ่งรู้ว่าเราไม่ชอบ พอมันไม่ชอบปุ๊บ ตอนนั้นหนูเคยคิดเลยว่า โห ไม่รู้จะตายวันไหนเลยอะ เราจะไม่ได้ทำอะไรที่ชอบเลยเหรอวะ คือคิดขนาดนั้นเลย จนเห็นประกาศรับสมัคร BNK48 ตอนนั้นหนูไม่ได้รู้จักวงรุ่นพี่มาก่อน เราแค่เห็นคำว่าเต้นเป็นกลุ่ม พอเห็นคำนี้เราเลยอยากลองสมัคร แบบขอลองสักครั้งเถอะ เพราะตอนนี้มันถึงจุดที่กำลังไม่ค่อยมีความสุขแล้วในการเลือกของเราตรงนี้ ก็เลยตัดสินใจสมัครเข้ามา แต่ก็ยังกลัวอยู่ 

 

หลังจากที่เนยได้เป็น BNK48 แล้ว เราเริ่มมีความสุขกับการเต้นมากขึ้นไหม หรือว่ากดดันมากขึ้นกว่าเดิม 

 

เนย: ตอนแรกที่เข้าวงเราไม่ได้กดดันเรื่องเต้น แต่กดดันเรื่องเป็นคนไม่กล้าแสดงออก เพราะเขาจะมีสอบต่างๆ เราก็จะมีความกังวลเรื่องนี้แทน แล้วตอนเข้าวงมาเรายังไม่ชินกับการจัดอันดับ ด้วยความที่ในวงจะมีเรื่องแบบนี้เยอะมากอยู่แล้ว แล้วเราไม่รู้ว่าเข้ามาแล้วจะต้องเจอแบบนี้ เอาตรงๆ เราไม่ค่อยชอบเท่าไรกับการที่มีการจัดอันดับเยอะๆ เลยหนักใจเรื่องพวกนี้มากกว่า 

 

แต่ถ้าเป็นเรื่องเต้น หนูรู้สึกชอบ เหมือนพอเราทำมาเรื่อยๆ เข็มเริ่มเบนมาทาง BNK48 มากกว่า กลายเป็นว่าหนูดรอปเรียนวิทย์ไปเลย แล้วถ้าเอาตรงๆ แม่อยากให้ใส่ครุยแดงของพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง แล้วหนูก็บอกว่าหนูจะย้ายมามหาวิทยาลัยกรุงเทพนะ ตอนนั้นคุยกันเยอะมาก เกือบจะทะเลาะกันเลย แต่หนูรู้สึกว่าใจหนูมาทางนี้เยอะมากแล้ว รู้สึกว่าทางนี้ทำแล้วแฮปปี้กว่า ต่อให้จะมีเรื่องไม่แฮปปี้บ้าง แต่รู้สึกว่าแฮปปี้กว่าที่เราจะไปฝืนตรงนั้น ช่วงแรกๆ แม่ก็จะไม่เข้าใจบ้าง แต่พอทำมาเรื่อยๆ แม่เขาก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น 

 

 

แฟนคลับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของหนูเลย เหมือนในวันแรกที่เข้ามา ไม่ว่าจะมีการจัดอันดับอะไร หนูจะอยู่ท้ายๆ เสมอ แต่เราก็จะมีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งที่ยังเชื่อมั่นในตัวเรา เขายังเห็นเรา แล้วทำไมเราถึงไม่เห็นตัวเอง แล้วทำไมเราถึงยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

 

จากวัยเด็กมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งคู่คิดว่าตัวเองเติบโตขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปในแง่มุมไหนบ้าง

 

น้ำหนึ่ง: หนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนอ่อนไหวง่าย น้ำตาไหลง่าย คือทุกวันนี้ก็ยังน้ำตาไหลง่ายอยู่ เจออะไรก็จะร้องไห้ ซึ่งตอนสมัยเด็กเวลาเราเจออะไรก็จะรู้สึกว่า อันนี้ฉันจะรับไหวเหรอ แต่ว่าพอได้มาอยู่ใน BNK48 แล้ว เหมือนสิ่งต่างๆ มันหล่อหลอมให้เราเข้มแข็งทางจิตใจมากยิ่งขึ้น จากวันแรกที่เราเข้ามาแล้วเราเจอการเปรียบเทียบต่างๆ นานา เจอคำพูดของคนที่ไม่ค่อยดีเท่าไร ในครั้งแรกๆ ที่โดนก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าเหมาะกับฉันแล้วมั้ง หรือฉันมาผิดที่หรือเปล่า จนมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่อดทนกับสิ่งต่างๆ แล้วก็ผ่านมันมาได้ แล้วก็ขอบคุณกำลังใจและคำที่ไม่ดีด้วยที่เหมือนเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นมา 

 

จุดเปลี่ยนตรงไหนที่ทำให้เราสามารถข้ามผ่านคำพูดไม่ดีตรงนั้นมาได้ 

 

น้ำหนึ่ง: แฟนคลับค่ะ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของหนูเลย เหมือนในวันแรกที่เข้ามา แฟนคลับหนูน้อยมากๆ แบบมากๆ จริงๆ ไม่ว่าจะมีการจัดอันดับอะไร หนูจะอยู่ท้ายๆ เสมอ แต่เราก็จะมีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งที่ยังเชื่อมั่นในตัวเรา เขายังเห็นเรา แล้วทำไมเราถึงไม่เห็นตัวเอง แล้วทำไมเราถึงยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แฟนคลับก็เลยเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกว่าเราต้องสู้นะ ไม่ใช่แค่เพื่อพวกเขา แต่เพื่อตัวเราเองด้วย นี่คือความฝันของเราหรือเปล่า ไม่ได้มีใครบังคับให้เรามาที่นี่ เราเดินเข้ามาเอง 

 

เนย: ของหนูถ้าชัดๆ เลยก็น่าจะเป็นเรื่องกล้ามากขึ้น กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น อย่างแต่ก่อนที่เราไป Digital Live Studio แรกๆ เราจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเท่าไร เพราะว่ามันต้องพูดคุย แล้วเราเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด เพราะเรากลัวว่าพอเราพูดออกไปแล้วคนจะไปตีความอย่างไรหรือเปล่า ก็เลยไม่ค่อยชอบเรื่องการพูดเท่าไร แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าตัวเองกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น อย่างที่หนูกำลังนั่งสัมภาษณ์อยู่ตอนนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนหนูจะกลัวมาก แต่ว่า ณ วันนี้รู้สึกว่าตัวเองชิลมากขึ้นแล้ว

 

อีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกเปลี่ยนไป คือแต่ก่อนหนูจะเป็นคนโฟกัสเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีเยอะ เวลาเราโดนอะไรเข้ามา บางทีเราเหลวไปเลย แล้วก็จะชอบคิดว่าทำไมเขาถึงว่าเราแบบนั้น เราเป็นคนไม่เข้มแข็งเลย แล้วบางทีมันส่งผลให้เรากดดันตัวเอง ทำให้งานออกมาไม่ดี ทำให้คนที่เขารักเราไม่มีความสุขไปด้วย เพราะเขาเห็นว่าเราไม่มีความสุข พอตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้น เหมือนหนูรู้สึกว่าคนที่เขาไม่ชอบเรา ทำอย่างไรเขาก็ไม่ชอบ ดังนั้นเราไม่ควรไปทำให้ตัวเองเหลวเพราะเขา เพราะว่ายังมีคนที่ชอบหนู คอยมองหนูอยู่ เลยทำให้เราเข้มแข็งทางจิตใจมากขึ้น แล้วบางเรื่องเราก็เรียกว่าชินมากขึ้นด้วย เข้าใจกับมันมากขึ้น

 

 

พอหนูได้นั่งมองแฟนคลับ มันทำให้เราค้นพบว่าสิ่งที่เราทำมาตลอด 6 ปี สิ่งที่เราได้รับคือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ เราอาจจะไม่ใช่คนที่ได้รับโอกาสมาเป็นกระบุง ไม่ได้ตำแหน่งนั่นนี่โน่น แต่ว่าสิ่งที่เราได้มาเสมอตลอด 6 ปีคือความรักจากทุกคนที่ส่งมาให้หนู

 

ย้อนกลับไปในการแสดงสเตจ Team BIII 1st Stage Party ga Hajimaru yo ในสเตจวันเกิดของเนย ตอนนั้นน้ำหนึ่งเป็นคนเขียนจดหมายอวยพรวันเกิดให้ ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่น่าสนใจคือ ‘ขึ้นสู่ยอดเสาไปด้วยกัน’ ในช่วงแรกๆ ของการเป็น BNK48 ทั้งสองคนตั้งยอดเสาหรือตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง 

 

น้ำหนึ่ง: จริงๆ ที่มาของคำว่ายอดเสา เหมือนในช่วงแรกๆ เราจะมีการวัดระดับความนิยม แล้วก็จะมีกราฟที่ทำขึ้นมา ซึ่งกราฟของเรามันจะเป็นแนวไต่ขึ้นไปด้านบน แล้วตอนนั้นเหมือนจะมีคนพูดว่านี่มันเป็นแก๊งยอดนักไต่ หนูก็เลยเปรียบเทียบการเดินทางของเราว่ามันไม่ใช่วิ่งไปในแนวราบ แต่มันปีนขึ้นข้างบน 

 

ดังนั้นยอดเสาของเรามันก็คงเป็นเป้าหมายต่างๆ ของการเป็น BNK48 ที่เราอยากจะเช็กพอยต์มันไปเรื่อยๆ ทั้งการได้เป็นเซ็นเตอร์ การติดเซ็มบัตสึ ติด Kami 7 อะไรก็ตามแต่ แล้ว Fact อย่างหนึ่งของการเป็น BNK48 คือการที่เราไปอยู่จุดสูงๆ เท่ากับการที่เราจะได้รับเลือก ดังนั้นประโยคที่เราพูดไปวันนั้นก็เลยคล้ายๆ กับการที่เราจะเป็นกำลังใจให้เพื่อน แล้วก็เป็นกำลังใจให้ตัวเองด้วยว่า งั้นเรามาลุยต่อกันไปเรื่อยๆ นะ มาไต่ขึ้นไปสูงๆ ไปด้วยกันนะ 

 

เนย: สำหรับหนู ด้วยความที่ใน BNK48 จะมีหลายอย่างที่ทำให้เราอยากจะลองไปอยู่สักครั้ง อย่างแรกที่เข้ามาคืออยากติดเซ็มบัตสึก่อน อยากมีโอกาสยืนข้างหน้า หรืออยากมีโอกาสเป็นเซ็นเตอร์ พอเริ่มมีงาน General Election (GE) ก็อยากติด Kami 7 หรืองานอื่นๆ ก็อยากมีโอกาสได้ลองทำ นั่นคือเป้าหมายที่อยากจะเดินไปเรื่อยๆ 

 

แต่เหมือนพอยิ่งอยู่มาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน หนูรู้สึกว่าเราอยากเดินไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข แค่นั้นเลย แล้วแต่ละจุดที่หนูไป ตั้งแต่การเป็นเซ็มบัตสึหรืออย่างล่าสุดคืองาน GE คือเราค่อยๆ เดินมาก็จริง แต่เราก็มีแฟนคลับที่คอยผลักเราอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเป็นจุดที่มันอยู่สูงมากเท่าไร คนข้างล่างที่เขาผลักเราก็เหนื่อยมากเท่านั้น แล้วยิ่งปกติธรรมชาติของ BNK48 การที่เราจะมีพื้นที่เยอะๆ หนึ่งคือความนิยมใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นคนที่ส่งให้เราไปถึงจุดสูงๆ เขาจะเหนื่อยกว่าเราเยอะ สำหรับหนูงาน GE มันเลยเป็นจุดที่หนูไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร หนูอยากไปอยู่ในจุดสูงๆ แต่เราทำได้แค่ให้กำลังใจคนที่ผลักเราขึ้นมา จะดีใจก็ดีใจได้ไม่สุด เพราะคนที่เหนื่อยคือคนที่ผลักเราอยู่ข้างล่างให้เราได้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงๆ ปัจจุบันหนูเลยรู้สึกว่า ณ ตอนนั้นที่หนูค่อยๆ เดินขึ้นมา หนูทำได้ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ไม่รู้ แต่หนูเต็มที่ที่สุดในแต่ละจุดที่ผ่านเข้ามาตรงนั้น ณ ตอนนี้เลยรู้สึกว่าเวลาที่เหลืออยู่อยากมีความสุขกับเสาต้นนี้ ก่อนที่จะไปสู่เสาต้นใหม่ 

 

 

ณ วันนี้ทั้งคู่คิดว่าเราได้เดินทางไปถึงยอดเสาเหล่านั้นแล้วหรือยัง

 

น้ำหนึ่ง: ณ วันนี้สำหรับหนูถึงแล้วค่ะ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แบบ Yes! ถึงแล้ว! แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยืนยิ้มกับลมเย็นๆ คือในระหว่างทางเราก็จะมีความรู้สึกดีใจกับสิ่งที่เราได้ หรือเสียใจกับสิ่งที่เราไม่ได้ อันนี้ทำไมเราไม่ได้ อันนั้นทำไมเราไม่ได้ แต่พอเราได้มายืนอยู่ตรงนี้ มองสิ่งที่ผ่านมา ล่าสุดมันเป็นงานจับมือ (BNK48 12th Single “Believers” Handshake Event) กับสเตจวันเกิดหนู (Team NV 1st Stage Theater no Megami Namneung’s Birthday Stage) พอหนูได้นั่งมองแฟนคลับ มันทำให้เราค้นพบว่าสิ่งที่เราทำมาตลอด 6 ปี สิ่งที่เราได้คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ เราอาจจะไม่ใช่คนที่ได้รับโอกาสมาเป็นกระบุง ไม่ได้ตำแหน่งนั่นนี่โน่น แต่ว่าสิ่งที่เราได้มาเสมอตลอด 6 ปีคือความรักจากทุกคนที่ส่งมาให้หนู 

 

อย่างการที่หนูจะไปเช็กพอยต์ต่างๆ เช่น หนูอยากเป็นเซ็นเตอร์ อยากเป็นเซ็มบัตสึ อยากเป็นแถวหน้า อยากเป็น Kami 7 สุดท้ายแก่นแท้ที่หนูได้มามันก็คือความรักจากทุกคนที่ส่งมาให้หนู ณ วันนี้มันเลยเป็นเหมือนการยืนมองอยู่บนยอดเสาอย่างมีความสุข แล้วก็เข้าใจในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา แล้วก็ปลงกับหลายๆ เรื่องที่เราเคยรู้สึกเสียใจ และการได้รับความรักของทุกคนที่มาอยู่กับหนูในทุกวันนี้ 

 

เนย: ของหนูไม่ถึงกับเรียกว่าเราอยู่จุดสูงสุดแล้ว สำหรับหนูคือรู้สึกพอใจกับตรงนี้แล้วมากกว่า ที่ผ่านมาหนูไม่ได้มีอะไรเสียดายแล้ว แต่ก่อนอาจจะมีเสียดายในบางเรื่อง แต่พอเดินมาเรื่อยๆ ประกอบกับสิ่งที่แฟนคลับให้กำลังใจหรือส่งอะไรมา หนูรู้สึกว่าทุกอย่างที่หนูทำมาใน BNK48 หนูให้ใจแล้วก็เต็มที่กับมันทุกอย่างแล้ว ณ ตอนนี้จนถึงเดือนท้ายๆ ที่จะอยู่ หนูไม่มีอะไรติดค้างใน BNK48 แล้ว ต่อให้จุดมุ่งหมายแต่ละอย่างที่หนูเดินมาจะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่หนูเต็มที่มาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าในเส้นทางนี้ของฉัน ฉันให้ใจมันเต็มที่แล้ว แล้วก็รู้สึกมีความสุขแล้ว 

 

สลับมาที่เมมเบอร์ในวงกันบ้าง ภาพของเพื่อนๆ รุ่น 1 หรือน้องๆ รุ่น 2 รุ่น 3 ที่ได้เดินทางไปถึงยอดเสาของตัวเอง ภาพการเติบโตของพวกเขา ส่งผลต่อความรู้สึกของเราอย่างไรบ้าง 

 

น้ำหนึ่ง: หนูรู้สึกว่าการได้เห็นเพื่อนๆ ได้ทำอะไรต่างๆ ที่เขาอยากจะทำ ณ ปัจจุบันก็มีเพื่อนบางคนที่ได้ร้องเพลงของตัวเอง ได้ทำคอนเสิร์ตของตัวเอง หรือได้รับบทบาทในการแสดงตามที่เขาใฝ่ฝัน หนูก็รู้สึกดีใจกับเขา แล้วก็เป็นแรงผลักดันอีกหนึ่งอย่างของเรา อย่างตอนนี้เราอาจจะต้องแยกย้ายกัน แต่ฉันก็จะไปตามทางของฉันเหมือนกัน และฉันก็จะเป็นกำลังใจให้เธอในเส้นทางของเธอเหมือนกัน เหมือนเป็นอีกหนึ่งพลังใจที่ทำให้เราอยากจะเดินไปข้างหน้า 

 

หรือน้องๆ ที่กำลังได้เป็นเซ็นเตอร์ หรือได้ติดเซ็มบัตสึแล้ว สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เราเคยผ่านมาแล้ว ก็เลยจะเป็นการมองด้วยความดีใจกับเขา แล้วก็ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ของตัวเองด้วย เข้าใจว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เข้าใจว่าสิ่งที่เขาเหนื่อย สิ่งที่เขาเจอมันเยอะแยะแค่ไหน แล้วพอเราได้เห็นว่าเขาได้รับอะไรที่เป็นการตอบแทน เราก็รู้สึกดีใจกับเขามากๆ 

 

เนย: ของหนูถ้ากับเพื่อนๆ รุ่น 1 อยากบอกเพื่อนๆ ทุกคนว่าภูมิใจในตัวเพื่อนๆ มาตลอด เรารู้สึกว่าการที่เราทำงานกับพวกเขามาตลอด 5-6 ปี เรารู้ว่าเพื่อนๆ ทุกคนเป็นคนที่เต็มที่ในทุกๆ งาน มีแพสชันในทุกๆ งาน หนูเลยรู้สึกว่าในก้าวต่อไปของเพื่อนๆ ที่เราจะแยกย้ายกันไป ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย เพราะเรารู้สึกว่าทุกคนจะสู้ ต่อให้จะเจออะไร ทุกคนจะสู้ด้วยสัญชาตญาณของพวกเรารุ่น 1 แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกโหวงๆ คือแค่เราจะได้เจอกันน้อยลงมากกว่า ถ้าส่วนอื่นคือรู้สึกภูมิใจกับเขา และไม่มีอะไรต้องห่วงเกี่ยวกับเพื่อนๆ เลย 

 

ส่วนน้องๆ เอาจริงๆ เราเหมือนเห็นความสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุดที่เปิดตัวรุ่น 4 เราก็เห็นถึงความสดใส มีพลังที่เต็มเปี่ยมมากๆ ไม่ใช่แค่แฟนคลับที่ได้รับ แต่หนูรู้สึกว่าเราที่เป็นเมมเบอร์ พอเห็นน้องๆ เราก็รู้สึกว่าน้องๆ เหมือนเป็นพลังงานให้เราเหมือนกัน แล้วก็อย่างที่น้ำหนึ่งบอกว่า ณ ตอนนี้เส้นทางที่น้องๆ รุ่น 2 รุ่น 3 รุ่น 4 เดินอยู่ ก็เป็นเหมือนทางที่เราผ่านมา เราเห็นว่าเขากำลังสู้ คือ ณ ตอนนี้รุ่น 1 จะเป็นความรู้สึกเหมือนเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น 

 

น้ำหนึ่ง: เข้าใจ อยู่ด้วยความเข้าใจมากขึ้น

 

เนย: ใช่ อยู่ด้วยความเข้าใจ อย่างเวลาประชุมงานกับรุ่น 1 สิ่งที่เห็นชัดมากขึ้นคือทุกคนมีความเป็นผู้ใหญ่มากๆ หนูรู้สึกว่าเราใจๆ กันมากๆ เราอยากได้อะไร คนนี้อยากอยู่แถวหน้า โอเค พูดได้เลย เราเข้าใจเพื่อน อันนี้คือสิ่งที่เราเติบโตขึ้น กับน้องๆ รุ่น 2 รุ่น 3 หนูรู้สึกว่าเขากำลังต้องสู้เหมือนกับพวกเรา แน่นอนว่าเขาอาจจะยังผ่อนคลายแบบพวกเราไม่ได้ เพราะตอนนี้น้องๆ เขาก็กำลังเดินไปตามเป้าหมายของแต่ละคนอยู่ แบบเดียวกับที่เราเช็กลิสต์กันไปเมื่อกี้  

 

 

สมมติว่ามีเมมเบอร์รุ่น 2 รุ่น 3 หรือรุ่น 4 ได้มาอ่านบทสัมภาษณ์นี้ มีเรื่องอะไรที่ทั้งคู่อยากแนะนำพวกเขาบ้างไหม

 

น้ำหนึ่ง: ก็อยากจะบอกว่าทำให้เต็มที่ อย่างเราจะมีประโยคที่บอกว่า ‘ความพยายามไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ’ ใช่ไหมคะ แต่ว่าสิ่งที่เป็น Fact เหมือนกันคือ ความพยายามของคนเรามันไม่เท่ากัน สิ่งที่เราจะได้รับไม่เท่ากัน การที่เราลงเท่ากัน มันไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับเท่ากัน ฉะนั้นบางทีอาจจะมีน้อยใจตัวเองบ้างว่า ทำไมฉันทำไปแล้วฉันถึงไม่ได้อันนั้นเหมือนเพื่อน หรือว่าฉันก็ขยันเหมือนกันนะ ฉันก็พยายามเหมือนกันนะ อย่าไปมองถึงผลลัพธ์ขนาดนั้น อย่างน้อยเราทำลงไป แน่นอนว่ามันอาจจะมีสิ่งที่เราได้รับ แต่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังก็ได้ อย่างน้อยทำไปมันต้องได้อะไรสักอย่าง 

 

อยากให้ทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ แล้วไฟที่มีตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ก็อยากจะขออวยพรให้มีไฟนั้นลุกโชติช่วงจนสุดเส้นทางนี้ เพราะเข้าใจเลยว่ามันจะมีอะไรมาทำให้ไฟเราริบหรี่ง่ายมากๆ ก็อยากจะส่งกำลังใจให้เขา ณ วันหนึ่งที่เขาเดินมาสุดเส้นทางนี้แล้ว แล้วเขาย้อนกลับไปมอง มันจะเป็นเส้นทางที่สวยงามมากๆ หนูย้อนกลับไปในวันแรกก็ยังคงจะมาสมัคร BNK48 อยู่ดี

 

เนย: สำหรับหนู หนูอยากให้เขาแคร์จิตใจของตัวเองให้เยอะๆ แล้วก็รักตัวเองให้มากๆ เหมือนเส้นทางที่เราอยู่ แน่นอนว่าเราได้รับโอกาสต่างๆ เราได้เจอคนที่รักเราเข้ามาเยอะก็จริง แต่ว่าอีกนัยหนึ่งเราก็ได้รับสิ่งที่กระทบจิตใจเรามากขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นพยายามดูแลจิตใจของตัวเอง แล้วก็จะพูดว่าไม่แคร์ในสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะหนูก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วอยากให้เขารักตัวเองให้มากๆ 

 

แล้วก็ยึดในจุดมุ่งหมายแรกที่เข้ามา อย่างตอนแรกเราอาจจะรู้สึกอยากร้อง อยากเต้น แต่ว่าพอเข้ามาปุ๊บ มันมีปัจจัยเยอะมากที่จะทำให้เราไขว้เขว การเปรียบเทียบ คนนั้นดูถูกเรา คนนี้ว่าเรา คนนี้ไม่ชอบเรา มันทำให้บางทีเราเขวแล้วเหลวไปเลยว่า ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ จนลืมจุดมุ่งหมายไป เมื่อความเข้มแข็งเราน้อยลง มันทำให้จุดมุ่งหมายเราหายไปด้วย การที่เราจะเข้มแข็งกับตัวเองแล้วยึดจุดมุ่งหมายนี้ไปเรื่อยๆ หรือว่าพยายามสู้ไปเรื่อยๆ มันทำยาก แต่ก็อยากจะส่งกำลังใจให้ แล้วก็อยากให้แคร์จิตใจตัวเองให้เยอะๆ แล้วก็แคร์คนที่เขารักเราให้เยอะกว่าคนที่เขาไม่ได้รักเรา 

 

 

อย่างที่หนูบอกไปว่ารุ่น 1 มันสู้มาก หนูเลยอยากบอกว่า เราทุกคนรู้ค่ะว่าการที่ก้าวออกไปข้างนอกมันไม่ง่าย เราไม่ได้คิดว่าเราออกจาก BNK48 แล้วเราจะโด่งดังมากกว่า ต่อให้มันจะเป็นเส้นทางไหน พวกเราก็พร้อม เพราะเราเลือกแล้ว เราจะสู้ ต่อให้มันจะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็จะลอง แล้วก็จะสู้ไปเรื่อยๆ  

 

อย่างที่หลายคนทราบว่าช่วงนี้เป็นช่วงปลายทางของการเป็น BNK48 ของเมมเบอร์รุ่น 1 หลายๆ คน ก่อนที่จะแยกย้ายกันออกเดินทางในเส้นทางใหม่ รวมถึงน้ำหนึ่งและเนยด้วย รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อจุดเปลี่ยนครั้งนี้กำลังจะมาถึง 

 

น้ำหนึ่ง: เราน่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันคือเราทุกคนรู้สึกโหวง เพราะเราจะหันมาข้างๆ ไม่เจอเพื่อนแล้ว ปกติเราทำงานในทุกๆ วัน อย่างน้อยต้องมีเพื่อนสักคนสองคน หรืออย่างมากๆ คือสิบคน ยี่สิบคนที่อยู่ข้างๆ เราบนเวที แต่วันนี้มันเหมือนเราต้องก้าวออกจากบ้านที่เราอยู่มานาน เราต้องก้าวออกจากเซฟโซนของเรา ถ้าจะต้องไปยืนด้วยตัวเองและไม่มีนามสกุลของ BNK48 แล้ว ก็รู้สึกโหวง แต่ในความรู้สึกนั้นก็มีความรู้สึกกังวลกับเส้นทางในอนาคตเหมือนกัน และก็มีความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับสิ่งต่างๆ ในอนาคตด้วย เป็นความรู้สึกที่ไม่เชิงว่าดีใจ มันเหมือนเราจะได้ไปเติบโตและตื่นเต้นกับเส้นทางที่เรากำลังจะเจอมากกว่า

 

เนย: ของหนูก็รู้สึกโหวงเหมือนกันค่ะ คือก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่าจะก้าวออกจาก BNK48 ใช้เวลานานมาก หนูใช้เวลายันวันสุดท้ายที่ต้องให้คำตอบเลย 

 

น้ำหนึ่ง: เหมือนกัน พวกเราถามกันทุกวัน จะต่อไหมๆ 

 

เนย: จนวันสุดท้ายที่จะต้องตัดสินใจเราก็ให้คำตอบไปว่า โอเค ฉันจะก้าวไปอีกเส้นทางหนึ่ง แต่บอกตรงๆ ว่าการเป็น BNK48 ก็ยังเป็นสิ่งที่เรารักอยู่เหมือนเดิม แล้วอย่างที่บอกว่าพอเราเป็นคนที่อินกับความสัมพันธ์ เราก็ชอบคิดตลอดเลยว่า ถ้าปกติเสาร์-อาทิตย์ต้องซ้อมเธียเตอร์ หรือปกติมีงานจะต้องมีไลน์กลุ่มเด้งเข้ามาแล้ว พี่ AR ทักมาว่าวันนี้ใส่ชุดนี้นะ ถ้าวันหนึ่งที่มันไม่มีสิ่งเหล่านี้ เอาจริงๆ ก็ยังรู้สึกโหวงมากๆ อยู่ดี ยังต้องทำใจอยู่ 

 

แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะยังคงตัดสินใจไปลองเจอในอีกเส้นทางหนึ่งมากกว่า ถามว่ามีความกลัวไหม มี แต่สุดท้ายแล้วหนูรู้สึกว่าเราก็ต้องสู้แหละ คือหนูเคยเจอบางคำพูดที่ว่า ออกไปแล้วจะรอดสักกี่คน ไปอยู่ในวงการด้วยตัวคนเดียวแล้วจะรอดไหม อะไรแบบนี้ แต่เราที่อยู่กับเพื่อนมานาน อย่างที่หนูบอกไปว่ารุ่น 1 มันสู้มาก หนูเลยอยากบอกว่า เราทุกคนรู้ค่ะว่าการที่ก้าวออกไปข้างนอกมันไม่ง่าย เราไม่ได้คิดว่าเราออกจาก BNK48 แล้วเราจะโด่งดังมากกว่า ต่อให้มันจะเป็นเส้นทางไหน พวกเราก็พร้อม เพราะเราเลือกแล้ว เราจะสู้ ต่อให้มันจะดีหรือไม่ดีอย่างไรก็จะลอง แล้วก็จะสู้ไปเรื่อยๆ  

 

ถ้าพูดถึงคำว่า ‘BNK48 รุ่นที่ 1’ ทั้งคู่จะนึกถึงภาพแบบไหน 

 

น้ำหนึ่ง: (คิดนาน) เด็กสาว (หัวเราะ) เป็นเด็กสาวธรรมดาเลย นี่คือเด็กสาวข้างบ้านจริงๆ เราจะคุยกันเสมอเวลามีรุ่นน้องเข้ามา อย่างตอนรุ่น 2 เข้ามาเราก็จะแบบ โห เขาสวยกันเนอะ เขามาพร้อมทั้งความสามารถและรูปลักษณ์ เหมือนพอมาอยู่ในวงการบันเทิง แน่นอนว่าเรื่องรูปลักษณ์ เรื่องความสามารถต่างๆ ความพร้อมต่างๆ มันเป็นสิ่งสำคัญ แล้วพอเราย้อนไปดูวันที่รุ่น 1 เข้ามา พวกเราแทบจะแบบ

 

เนย: เหมือนเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราควรทำอย่างไร ควรพูดอย่างไร เข้ามาตอนแรกเราก็ทำงานปกติ ไปซ้อมไปอะไร เป็นเด็กทั่วไปที่ซ้อมร้อง ซ้อมเต้น แล้วเหมือนอยู่ดีๆ เพลง คุกกี้เสี่ยงทาย (Koisuru Fortune Cookie) ก็ทำให้เราต้องเติบโตไวขึ้น อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนในวงการ บางทีก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน การวางตัว การพูดอะไรแบบนี้ มันทำให้เราต้องเรียนรู้หน้างานเลย 

 

น้ำหนึ่ง: จนถึงวันนี้เวลาเราคุยกันเล่นๆ ใช่ไหมคะ เอ๊ะ อันนี้เราเป็นคนในวงการหรือยังนะ จนตอนนี้ที่เราอยู่กันมา 6 ปีแล้ว ด้วยความที่เราเป็นไอดอล มันก็จะมีข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ แล้วส่วนใหญ่เราก็จะทำงานกันเอง จะมีบ้างที่เราได้ออกไปทำงานกับคนอื่นๆ ซึ่งเวลาเราออกไปทำงานกับคนอื่น เราก็จะรู้สึกว่าตัวเล็ก (หัวเราะ) ด้วยความที่เรามีภาพของเราตั้งแต่วันแรกด้วยแหละว่าเราเป็นคนธรรมดา มันก็เลยรู้สึกว่าฉันยังไม่ใช่ดารา ณ ปัจจุบันก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่ใช่ (คนในวงการบันเทิง) สมมติเราได้ไปแสดงอะไรมา แฟนคลับก็จะชอบแซวว่า มาแล้วดาราสาว (หัวเราะ) ก็จะรู้สึกไม่ชิน 

 

ภาพของพวกเราก็น่าจะเป็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่หลายๆ คนแทบจะเริ่มจากศูนย์หรือติดลบเลยด้วยซ้ำ กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ กว่าจะจับพลัดจับผลู เหมือนกับต้องทดลองด้วยตัวเองกันหมดเลย มันไม่มีแนวทาง เราไม่มีรุ่นพี่หรือรุ่นก่อนหน้าเราให้ดูว่าเขาต้องทำอย่างไร สมมติเรามีรุ่นพี่ AKB48 ใช่ไหมคะ พวกเขาก็จะอยู่กันคนละวัฒนธรรม มันก็มีความไม่เหมือนกันอยู่ เป็นภาพเด็กสาวที่จับพลัดจับผลู ทดลอง ลองผิดลองถูก ล้มลุกคลุกคลานกันมา

 

งานเปิดตัว BNK48 1st Generation Special Single ‘Jiwaru DAYS’ First Performance

ภาพ: BNK48

 

หลายๆ คนอาจจะวัดการออกไปเติบโตของเราจากชื่อเสียง แต่หนูรู้สึกว่าไม่นะ บางทีจุดที่เขามีความสุขอาจจะไม่ได้เป็นจุดที่มีชื่อเสียงก็ได้ การที่เขาไปอยู่ในจุดต่างๆ การที่เขาไปมีความสุข นั่นแหละคือสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว

 

‘การจากลา’ ถือเป็นพาร์ตหนึ่งของการเติบโตที่เราทุกคนต้องพบเจอ ทั้งคู่คิดว่าบทเรียนของการจากลาที่เราได้รับในครั้งนี้คืออะไร การจากลาจาก BNK48 การจากลาบทบาทไอดอล 

 

น้ำหนึ่ง: (คิดนาน) ทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นมามากยิ่งขึ้น ทำให้ภาพจำทุกอย่างมันแฟลชแบ็กกลับมาตลอดเวลา อย่างงานจับมือครั้งสุดท้ายที่ผ่านมา คือทุกอย่างมันแฟลชแบ็กอยู่ในหัวตลอดเวลา มันทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น แล้วก็รู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ ทุกๆ การสนับสนุนของทุกคน และสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันก็จะเป็นความทรงจำให้เราได้นึกถึง เป็นวันดีๆ ให้เราได้นึกถึง แล้วก็จะเป็นกำลังใจให้เราในอนาคต ความทรงจำที่มีคุณค่าเหล่านี้ มันจะอยู่กับหนูตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อไปเรื่อยๆ 

 

เนย: สิ่งที่หนูได้รับใน BNK48 หนูรู้สึกว่าต่อให้หนูเลือกที่จะก้าวออกไปข้างนอก หนูก็คงไม่มีวันได้รับเหมือนที่หนูได้ใน BNK48 อย่างแรกเลยคือแฟนคลับ อาจจะพูดถึงแฟนคลับเยอะ แต่เขาคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราไม่เหลวเวลาที่เราอยู่ใน BNK48 จริงๆ หนูก็ยังแอบคิดตลอดเลยว่า ณ วันที่หนูไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว พวกเขาจะยังอยู่กับหนูไหม พวกเขาจะยังชอบหนูอยู่ไหม อย่างที่บอกว่าหนูตัดสินใจวันสุดท้ายเลยว่าหนูจะก้าวออกจาก BNK48 ก็คือพวกเขานี่แหละที่ทำให้หนูตัดสินใจยากมากๆ หนูไม่อยากเสียพวกเขาไป หนูยังอยากให้เขาอยู่กับหนูตลอด เพราะฉะนั้นทุกช่วงเวลาที่หนูอยู่ใน BNK48 มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากๆ แล้วก็เหมือนเพื่อนที่จะไม่มีวันลืมเลย แล้วต่อให้หนูออกไป ความรู้สึกทุกอย่างที่หนูจะได้รู้สึกใน BNK48 มันก็จะอยู่ในความทรงจำหนูตลอดไป 

 

อีกอย่างก็คือเพื่อนๆ เมมเบอร์ คนที่เจออะไรคล้ายๆ กับเรา บางทีมีงานก็มาซ้อมด้วยกัน คือมันเห็นหน้ากันแทบทุกวัน บางทีเห็นหน้าบ่อยกว่าพ่อกับแม่อีก คนที่เข้าใจเรา เพราะเขาก็เจออะไรมาเหมือนกับเรา คนที่ให้กำลังใจเราตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างเมมเบอร์ที่เราได้รับตอนอยู่ใน BNK48 หนูรู้สึกว่ามันหายากมากๆ กับคนที่จะรู้สึกอะไรคล้ายๆ กับเราได้ขนาดนี้ 

 

แล้ววันที่เราแยกกันกับเพื่อน หนูรู้สึกว่าเหมือนได้มองเพื่อนไปเติบโตเหมือนกัน ณ วันหนึ่งที่เราอาจจะเจอกันน้อยลง แต่เราจะติดตามข่าวคราวกันแน่นอน เหมือนเราจะรู้ว่าแต่ละคนอยากจะทำอะไร เหมือนเป้าหมาย ณ ตอนนี้เป็นไอดอล แต่เป้าหมายในอนาคตทุกคนอยากลองทำโน่นทำนี่ แล้วในอนาคตถ้าเราได้เห็นเขาได้ไปอยู่ในจุดที่เขาอยากจะลองไปแล้ว เราก็จะยินดีไปกับเขา และทำให้เรารู้สึกว่าพวกเราเติบโตกันมากขึ้นจริงๆ แล้วสุดท้ายเราก็จะย้อนกลับมามองภาพในวันที่เราอยู่ BNK48 ด้วยกันอยู่ดี 

 

ทั้งคู่เคยลองจินตนาการไหม สมมติสัก 10 ปีข้างหน้า เมมเบอร์รุ่น 1 ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ภาพในวันนั้น ความรู้สึกในวันนั้นจะเป็นอย่างไร

 

น้ำหนึ่ง: เหมือนเราก็เคยคุยเล่นๆ กันว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราอยากจะจัดคอนเสิร์ตรียูเนียนกันอีกสักครั้ง แล้วก็ตื่นเต้นกับอนาคตของทุกคน แบบจะมีใครที่อุ้มลูกมาหรือเปล่า มีใครแต่งงานแล้วหรือเปล่านะ เขาจะไปอยู่ในจุดจุดไหนนะ 

 

แน่นอนว่าหลายๆ คนอาจจะวัดการออกไปเติบโตของเราจากชื่อเสียง แต่หนูรู้สึกว่าไม่นะ บางทีจุดที่เขามีความสุขอาจจะไม่ได้เป็นจุดที่มีชื่อเสียงก็ได้ การที่เขาไปอยู่ในจุดต่างๆ การที่เขาไปมีความสุข นั่นแหละคือสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว เขาออกไปแล้วเขาเลี้ยงลูกอยู่บ้าน สมมตินะ ไม่ใช่หนูนะ (หัวเราะ) สมมติมีเพื่อนเลี้ยงลูกอยู่บ้าน หรือเปิดคาเฟ่ธรรมดา นั่นก็คือจุดที่เขามีความสุขแล้ว เราจะมาวัดกันที่ชื่อเสียงก็ไม่ได้ และต่อให้เราย้อนกลับมาเจอกัน เราทุกคนก็จะยังเป็นเราทุกคน เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม โดยที่เราไม่ได้มองว่าคนนั้นมีชื่อเสียง คนนี้ไม่มีชื่อเสียง สุดท้ายเราก็จะเป็นเราคนเดิมที่จะกลับมาเจอกัน เหมือนกับที่เราเคยเจอกันในวันนี้ 

 

 

หนูรู้สึกว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะยอมรับที่เราเป็นเราได้ เราสามารถเปิดใจกันได้ แล้วในอนาคตหนูไม่รู้ว่าหนูจะได้เจอเพื่อนแบบนี้อีกไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ อยากเป็นเพื่อนกับเขาตลอดไป ต่อให้ในอนาคตเราจะเจอกันน้อยลง เราก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์มันขาดหายไป 

 

สลับมาที่น้ำหนึ่งและเนยกันบ้าง ทั้งคู่มีเรื่องอะไรที่อยากพูดถึงหรืออยากจะบอกกันและกันบ้าง 

 

เนย: น้ำหนึ่งคือเพื่อนคนแรกใน BNK48 อยู่หอก็อยู่ด้วยกันตั้งแต่ครั้งแรก หนูรู้สึกว่าเราเคารพในตัวเขา เพราะเขาคือคนที่ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาเยอะมากเหมือนกัน หนูรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สู้มากๆ เป็นคนที่อ่อนไหวง่าย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็สู้ เขาคือเลือดนักสู้จริงๆ ซึ่งเราเคารพสิ่งนี้มากๆ แล้วเขาเป็นคนที่ตั้งใจ เป็นคนที่ให้กับคนที่เขารักอย่างเต็มที่ 

 

สำหรับหนูช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา หลายอย่างเกิดขึ้นกับเราเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเกิดจากเราเองหรือเกิดจากคนภายนอก แต่หนูก็อยากขอบคุณความสัมพันธ์ของเรา ตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา ต่อให้มันจะมีช่วงที่เราเข้าใจกันบ้างหรือไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้วเราจะเข้าใจกัน เราเข้าใจตัวตนของเพื่อน และยอมรับกันมากขึ้น หนูรู้สึกว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะยอมรับที่เราเป็นเราได้ หรือคนที่จะรู้ว่าเธอเป็นแบบนี้ หรือฉันเป็นแบบนี้ เราสามารถเปิดใจกันได้ แล้วในอนาคตหนูไม่รู้ว่าหนูจะได้เจอเพื่อนแบบนี้อีกไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ อยากเป็นเพื่อนกับเขาตลอดไป ต่อให้ในอนาคตเราจะเจอกันน้อยลง เราก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์มันขาดหายไป 

 

แอบกลัวเหมือนกันเพราะว่าเหมือนเราเรียนมัธยมปลายที่เราต้องจบไป สุดท้ายเราบอกกันว่าเราจะกลับมาเจอกัน แต่ด้วยความที่เราต้องห่างกัน หลายอย่างมันทำให้เราห่างกัน พอห่างกันไปแล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง หนูกลัวมากว่าเราจะยิ่งห่างกันไหมวะ เพราะฉะนั้นหนูเลยอยากจะให้ความสัมพันธ์ของเรามันอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้มันห่างกันไป แล้วก็อยากบอกว่าเราหวังดีกับเขาเสมอ แล้วก็รักเขามากๆ เหมือนกัน ต่อให้หลายๆ อย่าง บางทีเราไม่ค่อยได้คุยกัน แต่อยากพูดตรงๆ เลยว่า รักเหมือนวันแรกเสมอ 

 

 

วันแรกที่เราเข้ามาใน BNK48 เราเหมือนมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่มันค่อนข้างจะเคว้งคว้าง แต่เราก็จะมีเขาที่อยู่กับเรา ณ วันนั้น แล้วจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นคนคนนั้นอยู่ ขอให้เขาเจอเส้นทางที่มีความสุข และไม่ว่าจะแก่ จะเจออะไรก็ตาม เราจะเติบโตไปแค่ไหนก็ตาม ก็อยากจะมีเขาอยู่ในชีวิตต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกัน 

 

น้ำหนึ่ง: เนยเป็นคนเก่งสำหรับหนูมาเสมอและมาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาก็จะตั้งใจทำมากๆ เป็นคนให้ใจคนอื่นมากๆ และหนูรู้สึกได้ถึงความรักที่เขาให้หนู เขาให้ความหวังดีกับหนูมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจจะไม่คุยกัน แต่เขาก็จะเป็นคนที่เข้าใจเราเสมอ เขาจะเป็นคนที่ อ๊ะ เธอเป็นอย่างนี้เหรอ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะเป็นคนเข้าไปหาเธอเองนะ เขาจะเป็นคนที่น่ารักกับหนูแบบนี้มาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ จนบางครั้งบางสิ่งบางอย่างที่หนูทำไป หนูก็รู้สึกว่าเราไม่น่ารักกับเพื่อนหรือเปล่า แต่เพื่อนก็ยังจะน่ารักกับเราเสมอ เขาก็ยังเป็นคนที่น่ารักแบบนี้ เป็นคนที่ใส่ใจเราแบบนี้ ในบางครั้งที่เราห่างกัน แต่ทุกครั้งที่เราได้มาเจอกัน เราจะเข้าใจกัน แล้วเราจะต่อกันติดเสมอ มีอะไรเราก็จะสามารถพูดกันได้ ฉันรู้สึกแบบนี้ เธอรู้สึกแบบนั้นเหรอ อย่างเวลาเราแยกทีมกันใช่ไหมคะ เราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่พอมาเจอกันเราก็จะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง 

 

เหมือนวันแรกที่เราเข้ามาใน BNK48 เราเหมือนมาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่มันค่อนข้างจะเคว้งคว้าง แต่เราก็จะมีเขาที่อยู่กับเรา ณ วันนั้น แล้วจนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นคนคนนั้นอยู่ ก็ขอบคุณเขามากๆ ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขอบคุณที่คอยน่ารักกับหนูเสมอมา ในอนาคตเราก็อยากจะมีความสัมพันธ์นี้อยู่ไปเรื่อยๆ เหมือนกัน หนูก็ไม่รู้ว่าจะมีใครน่ารักกับเราได้เท่าเขาไหม อยากบอกว่ารักมากๆ แล้วก็ขอโทษในอะไรหลายๆ อย่าง ขอให้เขาเจอเส้นทางที่มีความสุข เราจะคอยเฝ้ามองเขาและอยากให้เขาอยู่ในชีวิตของเราต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ไม่ว่าจะแก่ จะเจออะไรก็ตาม เราจะเติบโตไปแค่ไหนก็ตาม ก็อยากจะมีเขาอยู่ในชีวิตต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกัน 

 

 

ลองจินตนาการถึงอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้า เราอยากให้น้ำหนึ่งในวัย 36 ปีเป็นแบบไหน อยากให้เนยในวัย 36 ปีเป็นแบบไหน  

 

น้ำหนึ่ง: อยากเป็นน้ำหนึ่งที่มีความสุขและมีความมั่นคง ด้วยความที่หนูก็เป็นลูกคนเดียวใช่ไหมคะ เรื่องฐานะ ครอบครัว เราก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวในสักวันหนึ่ง เราก็อยากจะประสบความสำเร็จ แล้วก็สามารถที่จะทำให้พ่อแม่มีความสุขในทุกๆ ด้านได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านอะไรก็ตาม ก็คงเป็นน้ำหนึ่งที่มีความสุขและมั่นคงในอนาคต  

 

เนย: สำหรับหนูอย่างแรกเลยคืออยากมั่นคงเหมือนกันค่ะ ด้วยอายุที่เยอะขึ้น แล้วก็เป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน อยากให้ครอบครัวเราพึ่งพาเราได้ แล้วอายุ ณ ตอนนั้นเราจะเกือบ 40 แล้ว เราต้องมั่นคงแล้ว ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ที่เรายังมาลองผิดลองถูก รู้สึกว่าอยากเป็นหลักเป็นแหล่ง แล้วก็ถ้าในเรื่องของครอบครัว หนูรู้สึกว่าหนูอยากมีความสุขแบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวายแล้ว ณ ตอนนั้น เหมือนช่วงเวลาวัยรุ่นของเรา เราเจออะไรที่ทำให้อารมณ์เราแปรปรวนเยอะมากเลย ณ บั้นปลายชีวิตหนูเลยรู้สึกว่าอยากเรียบง่ายและสงบมากกว่า ไม่ต้องมาวุ่นวายหรือหวือหวาอะไรมากมายแล้ว 

 

The Cheese Sisters มีกำหนดเข้าฉาย 24 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ 

 

รับชมตัวอย่างได้ที่นี่ 

 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising