ตอนที่โครงการช่างชุ่ยเปิดตัวใหม่ๆ เครื่องบินลำใหญ่ขนาดความจุ 450 ที่นั่ง ที่ถูกถอดชิ้นส่วนใส่คาราวานรถบรรทุกมาประกอบใหม่เป็นแลนด์มาร์กของช่างชุ่ยนั้น เป็นเหมือนเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่หลายๆ คนรอลุ้นว่าบนเครื่องบินลำนี้จะมีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้น ผ่านไปเกือบปี เครื่องบิน Lockheed L-1011 TriStar ได้ถูกชุบชีวิตใหม่ตามคอนเซปต์ Nothing is Useless ให้กลายเป็น Na-Oh Bangkok (นา-โอ แบงค็อก) ห้องอาหารที่นำไฟน์อาร์ตมาผสมรวมกับความกึ่งไฟน์ไดนิ่ง แสงสีจัดเต็มตลอดเมนูอาหาร
เครื่องบิน Lockheed L-1011 TriStar ภายใต้คอนเซปต์ Nothing is Useless
The Vibe
แสงสีได้สาดเครื่องบินโนอาห์ตั้งแต่ด้านนอก จากนั้นฟ้าเริ่มมืดเวลา 18 นาฬิกาตรง ลิฟต์ชั้นล่างที่เป็นแบบตะแกรงยืดก็จะค่อยๆ เปิดต้อนรับ เพื่อเตรียมบอร์ดดิ้งสู่ด้านในเครื่องบินที่เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสัตว์สตาฟฟ์ขนาดจริง เปรียบดั่งเรือโนอาห์ที่อพยพสรรพชีวิตสู่โลกใหม่ หรือพูดให้ง่ายเข้าไว้ก็คือ เครื่องบิน Lockheed L-1011 TriStar ลำนี้เป็นยานพาหนะสำหรับอพยพผู้คนจากถิ่นฐานต่างๆ ไปสู่โลกใบใหม่
บรรยากาศการดินเนอร์ที่นี่จะค่อนข้างสลัวๆ เปิดเวทีมาด้วยการที่เชฟใส่หน้ากากแดงเดินถือตะเกียงแสงรำไรออกมาเล่าถึงคอนเซปต์พร้อมเสียงและแสงสุดตื่นเต้น เดินโชว์ตัวไปตามโต๊ะต่างๆ ซึ่งตั้งเรียงอยู่ตามแนวหน้าต่างเครื่องบิน มีบาร์เล็กๆ อยู่กลางลำ และห้องใต้ท้องเครื่องที่มีเหล่าสัตว์นับสิบอาศัยอยู่
เมื่อพื้นที่ภายในเครื่องบินถูกจัดสรรให้เป็นห้องอาหารพร้อมเหล่าสัตว์สตาฟฟ์
อีกความเซอร์ไพรส์ที่จัดเต็มคือ ช่วงปิดมื้ออาหารที่มีการโชว์แสงเสียงอีกเล็กน้อยให้เห็นโครงสร้างเครื่องบินทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายมื้ออาหาร แต่ด้วยความที่คนทั้งลำไม่ได้บอร์ดดิ้งขึ้นเครื่องมาพร้อมกัน อาจจะต้องโทรเช็กเวลาเปิดตัวเชฟและเวลาแสดงแสงสีสักเล็กน้อยเพื่อเก็บแต้มความคุ้มค่า
พื้นที่ทุกส่วนถูกนำมาจัดสรรให้เกิดประโยชน์
The Chef
อากาศยานนาโอห์เปิดตัวพร้อมความใหม่กริ๊บของเชฟหนุ่มวัย 19 ปี ‘โมน ธีระธาดา’ ซึ่งออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตและการทำอาหารด้วยตัวเองจากการที่ย้ายไปอยู่ประเทศออสเตรเลียตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยตำราอาหารเล่มหลักของเขาคือความรู้ด้านอาหารกลิ่นอายเอเชียของคุณแม่ ก่อนจะขยับไปทำงานร้านฟาสต์ฟู้ดสุดวุ่นวายในซิดนีย์ Hungry Jacks (หรือก็คือ Burger King ในบ้านเรา) และถูกจ้างไปเป็นไพรเวตเชฟประจำงานปาร์ตี้ให้กับเพื่อนๆ ก่อนกลับเมืองไทย เขาได้ฝึกมือด้านอาหารไทยเพิ่มเติม และได้ตำแหน่ง Executive Chef บนเรือบินนาโอห์ พร้อมกับการนำเสนออาหารแนว Futuristic Food ที่เป็นอนาคตในจินตนาการหลังวันสิ้นโลก ที่ผู้คนต่างเผ่าพันธุ์อพยพมารวมกันบนเครื่องบินลำนี้
เชฟหนุ่มวัย 19 ปี โมน ธีระธาดา
The Dishes
Futuristic Food คือคอนเซปต์อาหารที่เชฟย้ำ แต่…อย่าเพิ่งนึกว่า Futuristic คืออนาคตที่เสิร์ฟลูกเล่นการอาหารแบบหวือหวา เน้นโมเลคูลาร์ (Molecular) เปลี่ยนรูปร่างโมเลกุลของอาหารแบบจ๋าๆ หรือเป็นอาหารหน้าตาแปลกๆ ของนักบินอวกาศที่มาพร้อมกับรสชาติที่คาดไม่ถึง เพราะ Futuristic Food หรืออาหารในอนาคตตามคำจำกัดความของโมน ธีระธาดา คือการรวมความหลากหลายของหลายถิ่นฐานเข้าด้วยกัน โดยจะเปลี่ยนโจทย์ไปตามซีซัน เริ่มจากอีพี 1 คอนเซปต์ Diaspora หมายถึง การพลัดถิ่น โดยอาหารจะถูกเสิร์ฟเป็นคอร์ส เลือกได้ระหว่าง 5 และ 8 คอร์ส หรือจะเลือกอาหารตามใจเชฟ 5,500 บาท ซึ่งทางร้านบอกว่าเป็นเมนูเซอร์ไพรส์ที่แล้วแต่วัตถุดิบในช่วงนั้นๆ ทั้งยังไม่ระบุว่าจะต้องเสิร์ฟกี่เมนู อาจจะ 1 หรือ 2 ก็แล้วแต่โมน ธีระธาดา จะจัดสรร
สำหรับ Diaspora นั้น โมน ธีระธาดา อธิบายว่า คือการผสมผสานวัตถุดิบหลากหลายสัญชาติเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลิงก์ไปกับการอพยพครั้งใหญ่ด้วยเครื่องบินนาโอห์ แต่เท่าที่เรากินไป 3 เมนู เรากลับรู้สึกว่ารส วัตถุดิบ และเทคนิคของอาหารออกไปทางฝั่งจีนและเอเชียฝั่งตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่เห็นการพลัดถิ่นของฝั่งยุโรป อเมริกา อินเดีย และอาหรับเข้ามาในจานเท่าที่ควร ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่เราคาดหวัง
ผักดองเก๋ากี้ในโหลอาม่า
Fake Fertile ที่มีกลิ่นอายกระเพาะปลาน้ำแดง
ที่นี่เลือกที่จะเรียกน้ำย่อยด้วยผักดองเก๋ากี้ในโหลอาม่า ที่ให้ซดน้ำผักดองเค็มเปรี้ยวเข้าไปด้วย ถือเป็นการเปิดคอร์สอาหารด้วยรสชาติที่หนักหน่วงมาก รวมถึงเมนูต่อไปก็หนักหน่วงตามๆ มา ได้แก่ Fake Fertile ที่มีกลิ่นอายกระเพาะปลาน้ำแดงเล็กน้อย จานหลักเป็นหมูมันคาราเมลเล็กๆ ตัดมันด้วยข้าวที่ถอดรหัสบ๊ะจ่างออกมา ล้างปากด้วย ‘มันไม่ธรรมดา’ ซึ่งก็คือมันหวานธรรมดาเผา โปะไอศกรีมรัมเรซิน ส่วนตัวคิดว่าใครที่เคยชินกับอาหารที่ค่อยๆ ไต่เคิร์ฟรสชาติจากเบาไปหาหนัก อาจจะต้องหยุดตั้งหลักเล็กน้อย
หมูมันคาราเมลเสิร์ฟพร้อมข้าวที่ถอดรหัสบ๊ะจ่าง
มันไม่ธรรมดา ของหวานปิดท้าย
และเพื่อให้สมกับความเป็นช่างชุ่ย ก่อนเสิร์ฟทุกเมนูจะมีการกล่าวกลอน กล่าววลีต่างๆ ใส่แอ็กติ้งระหว่างการเสิร์ฟสักเล็กน้อยเป็นกิมมิกของร้าน ซึ่งถ้าใครอยากมาถ่ายภาพกับบรรยากาศเครื่องบินแบบว้าวๆ เรียนเชิญปักหมุด เพราะนั่นน่าจะทำให้คุณรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนที่แห่งนี้
Na-Oh Bangkok
Open: วันพฤหัสบดีถึงอังคาร เวลา 18.00-23.00 น.
Address: โครงการช่างชุ่ย
Budget: 5 คอร์ส ราคา 1,500 บาท 8 คอร์ส 2,500 บาท และ Chefs selection 5,500 บาท
Contact: จำกัดเพียง 90 ที่ต่อวัน สำรองที่นั่ง โทร. 0 2007 7070
Facebook: www.facebook.com/ChangChuiBKK
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า