เลียม แกลลาเกอร์ (Liam Gallagher) อดีตนักร้องนำ Oasis เป็นที่รู้จักในฐานะร็อกสตาร์ปากกล้า ผู้ชอบแขวะทุกคนในวงการไม่เคยไว้หน้า รวมถึงพี่ชายตัวเองอย่าง โนล แกลลาเกอร์ (Noel Gallagher) จนเป็นเหตุให้ Oasis ต้องถึงจุดจบ และทำให้เลียมต้องฟอร์มวงใหม่ในนามว่า Beady Eye แทนที่เขาจะได้รับบทเรียน เปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ดูมืออาชีพมากขึ้น แต่อีโก้และความมั่นใจในตัวเองกลับทำร้ายเขายิ่งกว่าเดิม ในขณะที่เส้นทางของโนลกำลังไปได้สวยในฐานะศิลปินเดี่ยวหลังจากแยกทางเดิน
ชีวิตของเลียมตอนอยู่กับ Beady Eye นั้นไม่ราบรื่นนัก ถึงแม้สมาชิกวงส่วนใหญ่จะมาจาก Oasis และเคยประสบความสำเร็จมาด้วยกัน แต่การขาดมันสมองหลักอย่างโนล ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Beady Eye ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อีกทั้งยังถูกนักวิจารณ์สับเละเรื่องเนื้อเพลงที่กลวงไร้แก่นสาร ส่วนพาร์ตดนตรีก็ดูสับสน จนเลียมต้องยุบวง Beady Eye โดยฝากผลงานไว้แค่ 2 สตูดิโออัลบั้มเท่านั้น
หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดเลียมก็กลับมาอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยว พร้อมประกาศอัลบั้มชุดแรกของเขา As You Were (2017) ก่อนจะปล่อยซิงเกิลออกมาให้แฟนเพลงได้ฟัง เช่น Wall Of Glass, Chinatown และ For What It’s Worth สิ่งแรกที่หลายคนน่าจะรู้สึกเหมือนกันคือพฤติกรรมของเลียมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน แทนที่เจ้าตัวจะด่ากราดศิลปินคนอื่นๆ เพื่อแย่งชิงพื้นที่สื่อ เลียมกลับมีท่าทีที่ประนีประนอมขึ้น จนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือ เลียม แกลลาเกอร์ ที่หลายคนรู้จัก
การกลับมาครั้งนี้น่าสนใจว่า ร็อกสตาร์ปากกล้ามีพฤติกรรมใดที่ทำให้แฟนเพลงรักในตัวเขามากขึ้น
ยอมรับจุดอ่อนของตัวเอง
คนที่มี ‘อีโก้’ มักจะมีบางอย่างที่คล้ายกัน พวกเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงจนไม่ฟังคนรอบข้าง หรืออาจมโนว่าตัวเองเก่งไปหมดเสียทุกอย่าง แน่นอนว่าเลียมก็เป็นอีกคนที่ติดหนึ่งในลิสต์นี้ เลียมเคยพูดว่า เขาสามารถเขียนเพลง Get Lucky ของ Daft Punk ได้ในเวลาไม่เกินชั่วโมง อีกทั้งยังแขวะว่า Daft Punk ไม่เจ๋งจริง เพราะต้องซ่อนใบหน้าตัวเองภายใต้หน้ากาก
Daft Punk – Get Lucky
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเลียมก็ออกมายอมรับแบบแมนๆ ว่า ไม่ได้เก่งไปหมดทุกเรื่อง เขาไม่สามารถเขียนเพลงได้ดีเหมือนโนลพี่ชายของเขา “โนลมีประสบการณ์เรื่องการเขียนเพลงมานานกว่า ผมเทียบกับเขาไม่ได้เลย แต่ถ้าวัดกันในฐานะนักร้องนำ ผมเหนือกว่าแน่นอน”
เมื่อรู้ว่าตัวเองเขียนเพลงไม่เก่ง เลียมเลือกปิดจุดอ่อนตัวเองโดยการทาบทามเกร็ก เคิร์สติน (Greg Kurstin) โปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซิงเกิล Hello ของ อเดล (Adele) ที่โด่งดังจากท่อนฮุคอันทรงพลัง ‘Hello from the Other Side’ มาร่วมแต่งเพลงในอัลบั้มเดี่ยวของเขา ถึงแม้เลียมจะยังติดนิสัยขี้โม้อยู่เป็นทุนเดิม แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จุดอ่อนของตัวเอง และยอมขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเสียที
ออดอ้อนขอพี่ชายกลับมารียูเนียน
นับตั้งแต่ Oasis ประกาศยุติบทบาทลง เลียมมักจะให้สัมภาษณ์พาดพิงไปถึงพี่ชายบ่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นคำด่าทออันหยาบคาย แต่ทุกคำด่ามักจะมีข้อความแฝงเรื่องการอยากกลับไปรียูเนียนเสมอ เพราะลึกๆ แล้ว เลียมรู้ตัวว่าพี่น้องแกลลาเกอร์จะเจิดจรัสที่สุดเมื่อทั้งคู่ร่วมงานกัน
“เราจะไม่รียูเนียน Oasis เพราะเงิน เราไม่ได้ฟอร์มวงเพราะต้องการจะร่ำรวย เราทำวงเพราะอยากทำดนตรี แต่สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือ ตอนนี้ผมกับพี่ชายไม่ได้คุยกันแล้ว เราต้องกลับมาเป็นพี่น้องและเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมก่อน”
อันที่จริงสองพี่น้องแกลลาเกอร์เกือบจะได้เจอกันในคอนเสิร์ตการกุศล One Love Manchester ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน แต่น่าเสียดายที่โนลติดภารกิจไปเที่ยวกับครอบครัวที่ต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถขึ้นโชว์ได้ ในขณะที่เลียมออกมาตำหนิพี่ชายว่า การที่คุณไม่ขึ้นโชว์ครั้งนี้แสดงว่าคุณไม่รักบ้านเกิดตัวเอง ก่อนที่คดีจะพลิกมารู้ความจริงภายหลังว่า โนลได้นำเงินลิขสิทธิ์เพลง ‘Don’t Look Back In Anger’ ไปบริจาคให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แมนเชสเตอร์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ล่าสุด โนลได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดคอนเสิร์ตการกุศลอีกครั้งในเดือนกันยายนนี้ ทันใดที่เลียมทราบข่าวว่าพี่ชายจะขึ้นเล่นคอนเสิร์ต เขาก็ออกมาแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ในเชิงว่า “ผมพร้อมที่จะขึ้นคอนเสิร์ตนี้” ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ไม่ทราบว่าทางโนลจะยินยอมด้วยหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ขึ้นเวทีร่วมกับอดีตวงคู่อริ Coldplay
Coldplay ในมุมมองของเลียมคือวงที่เขาเกลียดขี้หน้าและหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะแขวะผ่านบทสัมภาษณ์อยู่เป็นประจำ ครั้งหนึ่งเลียมเคยแขวะคริส มาร์ติน นักร้องนำ Coldplay ว่าเขาดูเหมือนครูสอนภูมิศาสตร์มากกว่าร็อกสตาร์ รวมถึงแขวะภาพลักษณ์ของ Coldplay ว่าน่าเบื่อ ไม่สมกับเป็นวงดนตรี ผิดกับ Oasis ที่มีเลือดของร็อกแอนด์โรลอยู่เต็มเปี่ยม
จนกระทั่งเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เลียมก็ได้พบกับ Coldplay ที่คอนเสิร์ตการกุศล One Love Manchester ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวแมนเชสเตอร์ต้องการกำลังใจ เลียมเลิกทำตัวงี่เง่าและตัดสินใจสร้างโมเมนต์ร่วมกับ Coldplay ด้วยการเล่นเพลง ‘Live Forever’ นอกจากจะเป็นเวอร์ชันที่ไพเราะตราตรึงแล้ว การได้เห็นสองไอคอนอย่าง คริส มาร์ติน อยู่บนเวทีกับ เลียม แกลลาเกอร์ เรียกได้ว่าเป็นภาพประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีเช่นกัน
นอกจากนั้น อดีตฟรอนต์แมน Oasis ได้มีโอกาสเปิดใจและเอ่ยคำขอโทษ คริส มาร์ติน กับการกระทำในอดีต “ผมเข้าไปหาเขาในห้องแต่งตัวและบอกว่า กูขอโทษ กูเคยพูดไม่ดีกับมึงไว้ กูทำตัวงี่เง่าเอง” ซึ่งคริสก็ตอบกลับว่า “เฮ้ย! อย่าคิดมาก สนุกจะตาย พวกเราชอบด้วยซ้ำ” การได้เห็นเลียมขอโทษ และเห็นทัศนคติเชิงบวกจากคริส มาร์ติน คือสิ่งที่แฟนเพลงทั้งสองวงต่างปลาบปลื้มไปด้วยกัน
Liam Gallagher and Coldplay – Live Forever (One Love Manchester)
ออกซิงเกิลแทนคำขอโทษกับทุกคน
ในอัลบั้มเดี่ยว ‘As You Were’ เขาได้พูดถึงที่มาของเพลง ‘For What It’s Worth’ เอาไว้ว่า “ผมทำเรื่องผิดพลาดมากมาย แต่นั่นแหละชีวิต นี่เป็นเพลงที่ใช้แทนคำขอโทษกับใครก็ตาม เพราะผมสร้างปัญหาเอาไว้เยอะ จะให้แต่งเพลงไล่ขอโทษทุกคนก็ใช่เรื่อง ทำเพลงเดียวก็พอ ฟังคำขอโทษนี้แล้วก็ขอให้จบๆ กัน ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป”
นับตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ เลียมมักสร้างศัตรูรอบทิศโดยใช้คำพูดด่าทอสารพัด มีวงดนตรีหลายวงแสดงจุดยืนเรื่องความเกลียดชังต่อเลียม ครั้งหนึ่ง เคลเล โอแคร์อาเค (Kele Okereke) นักร้องนำ Bloc Party เคยกล่าวไว้ว่า “Oasis คือวงดนตรีที่ถูกอวยเกินจริงที่สุดตลอดกาล พวกเขามีอิทธิพลในแง่ลบต่อวงการดนตรีอังกฤษ และพยายามทำตัวโง่เง่าเพื่อให้ดูเท่”
ไม่ใช่แค่ศิลปินในวงการที่เลียมเคยสร้างปัญหาไว้ ชีวิตส่วนตัวเลียมก็มีปัญหาหย่าร้างกับอดีตภรรยา นิโคล แอปเปิลตัน (Nicole Appleton) จนต้องขึ้นศาล ลึกๆ แล้วเจ้าตัวคงรู้สึกผิด แต่จะให้ออกมาขอโทษทุกคน ก็คงเสียฟอร์มร็อกสตาร์ ดังนั้น ‘For What It’s Worth’ จึงเป็นตัวแทนคำขอโทษแก่ทุกๆ คน ที่เลียมเคยทำไม่ดีเอาไว้
Liam Gallagher – For What It’s Worth
โอปป้า กัลลาเกอร์ สไตล์
การเป็นร็อกสตาร์บางครั้งคุณต้องรักษามาดและภาพลักษณ์ให้เท่อยู่ตลอด อันที่จริงเลียมไม่ใช่ศิลปินที่ชอบวางมาดสุขุม บ่อยครั้งเขามักสร้างโมเมนต์ให้แฟนเพลงประทับใจ ไม่ว่าจะเข้าไปแจกบัตรคอนเสิร์ตให้เด็กๆ หรือเข้าไปร่วมร้องเพลง Oasis กับผู้คนในผับ ถึงแม้ภายนอกเขาจะดูเป็นคนปากร้ายไม่เป็นมิตร แต่จริงๆ แล้วเลียมค่อนข้างชอบคลุกคลีกับแฟนเพลงของเขาอย่างใกล้ชิด
ล่าสุด เลียมไปแสดงคอนเสิร์ตที่เกาหลี และได้ไปถ่ายรูปกับรูปปั้นขนาดยักษ์ อันเป็นสัญลักษณ์จากท่าเต้นควบม้าเพลง Gangnam Style ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโซล อีกทั้งยังทำท่าเต้นแบบ Psy พร้อมแคปชันว่า ‘Oppa Gallagher Style’ โดยภาพนี้ถูกไลก์จำนวนเกิน 2 หมื่นครั้ง และยังโดนแชร์กว่า 2 พันครั้งด้วย ความฮาของเลียมทำเอาแอนตี้แฟนอาจหลุดอมยิ้มเมื่อเห็นภาพนี้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ เลียมยังเคยให้สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องการเซลฟีได้อย่างน่าสนใจ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ชอบให้คนมาถ่ายเซลฟีกับเขา (แต่ก็ไม่ปฏิเสธถ้ามีแฟนเพลงขอ) แต่ชอบที่จะเซ็นลายเซ็นบนของที่ระลึกให้กับแฟนเพลง หรือกอดแฟนเพลงแบบแน่นๆ มากกว่า ถึงแม้การให้สัมภาษณ์ของเขาอาจทำให้คนบางกลุ่มไม่ชอบใจ แต่ใจความหลักก็คือ เขายังแคร์แฟนเพลงเหมือนเดิม เพียงแต่เขาไม่ค่อยยอมรับกับวิธีการเซลฟีแบบสมัยใหม่เท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับเวลาที่ผันผ่านไปนั้น นอกจากริ้วรอยบนใบหน้าที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความเก๋าและความสุขุมของแต่ละคนก็เพิ่มขึ้นตามอายุไปด้วย เลียมเป็นศิลปินที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า แม้จะมีคนรักเมื่อทำตัวห่ามๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าจะเลือกวางอีโก้ลงบ้าง แล้วใส่ใจคนรอบข้างให้มากขึ้นอีกหน่อย แน่นอนคุณจะกลายเป็นที่รักมากขึ้น
อ้างอิง:
- www.independent.co.uk/arts-entertainment/music/news/liam-gallagher-slams-daft-punk-i-could-have-written-get-lucky-in-an-hour-8630555.html
- consequenceofsound.net/2017/08/liam-gallagher-shares-new-single-for-what-its-worth-stream
- www.theguardian.com/music/2017/may/25/liam-gallagher-greg-kurstin-adele-producer-as-you-were-new-album