×

มิวสิค BNK48 สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหยดน้ำตาของเซ็นเตอร์ผู้ร่าเริงและแสนเปราะบาง

31.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • มิวสิคเติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อและคุณแม่ชอบเล่นเกม และอนุญาตให้ลูกเล่นเกมและสอนภาษาอังกฤษให้ไปพร้อมๆ กัน เกมคือเครื่องเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
  • นอกจากการเป็นไอดอล มิวสิคมีอีกหนึ่งความฝันคืออยากทำงานเกี่ยวกับกฎหมายตามที่คุณปู่คาดหวังเอาไว้ให้เธอเป็น
  • คำว่า ‘เซ็นเตอร์’ สำหรับมิวสิคไม่ใช่แค่คนที่อยู่ตรงกลาง แต่หมายถึงคนที่ต้องพยายามให้มากกว่าทุกคน เพื่อแสดงออกถึงความหมายของเพลงนั้นๆ ออกมาให้ดีที่สุด
  • มิวสิคเชื่อว่าหน้าที่ของไอดอลคือการส่งมอบความรักให้กับทุกคน ในขณะเดียวกันความรักที่แฟนคลับส่งกลับมาให้จะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงของความรัก และกลายเป็นวงจรการส่งมอบความรักที่ไม่มีวันหมดต่อไป
  • ภายใต้ภาพที่น่ารักและสดใส มิวสิคได้ซ่อนความซีเรียส จริงจังกับการทำงานและการใช้ชีวิตเอาไว้อย่างมิดชิดชนิดที่น้อยคนจะรู้

 

 

‘หน้าตาเหรอหรา หัวโขกไมค์ มีเขี้ยว ยิ้มสดใส พูดน้อยแต่ทำให้แฟนคลับหัวเราะได้ตลอดเวลา ปิกาจู’

 

คือภาพจำที่ชัดเจนที่สุดในใจของเหล่าโอตะของ แพรวา สุธรรมพงษ์ หรือ มิวสิค BNK48 ไอดอลสาววัย 17 ปี หนึ่งในสมาชิกอันดับต้นๆ ที่เปิดตัวด้วยการเป็นเซ็นเตอร์ของซิงเกิลเปิดตัว ‘Aitakatta อยากจะได้พบเธอ’ จนได้รับการจับตามองไม่แพ้ เฌอปราง อารีย์กุล กัปตันของวง

 

เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปีเต็ม มิวสิคทำหน้าที่ไอดอลในการส่งมอบความรักได้อย่างยอดเยี่ยม และยังเป็น ‘คุณพระอาทิตย์’ ที่แสนสดใสให้กับทุกๆ คนมาโดยตลอด

 

แน่นอนว่าทั้งการทำงานหนัก การแข่งขันและความคาดหวังที่สูง ย่อมเป็นภาระที่หนักเกินกว่าเด็กสาวอายุ 17 ปีจะรับไหว แต่ที่ผ่านมาเธอเลือกเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ภายใต้รอยยิ้มและเขี้ยวคู่เล็กๆ อย่างมิดชิดไม่ให้ใครรู้ จนกระทั่งเธอได้เปิดเผยความในใจผ่านไลฟ์ในแอปพลิเคชัน VOOV พร้อมกับหยดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไม่ไหวในวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา จนแฟนคลับพากันใจไม่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระอาทิตย์ที่เคยส่องแสงสว่างให้กับพวกเขา

 

แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำครหามากมาย บ้างก็ว่าเธอแกล้งบีบน้ำตาเพื่อให้คนเห็นใจ บ้างก็ว่าเธออ่อนแอเกินไปสำหรับการเป็นไอดอล ฯลฯ โชคดีที่ก่อนหน้านั้น THE STANDARD มีโอกาสนั่งคุยกับมิวสิคอย่างใกล้ชิด และบทสนทนาที่เราได้รับทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่า สุดท้ายแล้วเธอไม่ใช่ใครอื่น เธอเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่น่ารัก สดใส จริงจังกับชีวิต เปราะบางกับความรู้สึกและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองมากๆ เท่านั้นเอง

 

ไม่แน่ใจว่าคนอื่นนิยามความเป็นไอดอลไว้ว่าอย่างไร แต่สำหรับเราคิดว่า ‘ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง’ นี่ล่ะ คือหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจสำหรับการเป็น ‘ไอดอล’ ในยุคนี้มากทีเดียว

 

 

กว่าจะมาเป็นมิวสิค BNK48 ในทุกวันนี้ เด็กหญิงมิวสิคเติบโตมากับคำสอนหรือกิจกรรมอะไรบ้าง

เมื่อก่อนแม่ชอบให้สิคเรียนพิเศษหลายอย่างมาก โดยเฉพาะเลข วิชาที่สิคเกลียดที่สุด (หัวเราะ) เกลียดจนร้องไห้ เพราะเป็นเด็กที่จะไม่มีความสุขเลยเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ สุดท้ายโชคดีที่คุณแม่เข้าใจแล้วบอกว่าแม่จะไม่ฝืนสิคแล้ว ให้สิคเลือกด้วยตัวเอง ถ้าชอบอะไรแล้วมาบอกแม่แล้วกัน

 

ซึ่งสิ่งที่สิคเลือกตอนนั้นก็คือ

เล่นเกมก่อนเลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะปกติคุณพ่อกับคุณแม่ยังเป็นเด็กทั้งคู่ ก็เล่นเกมกันอยู่แล้ว เลยเริ่มต้นจากการเล่นเกมแล้วให้คุณพ่อสอนภาษาอังกฤษจากเกมไปด้วย เล่นหลายเกมมาก ตั้งแต่เกม Barbie, Final Fantasy, Ragnarok, Pangya, Dokapon Kingdom, Devil May Cry, Fear ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเกมภาษาอังกฤษ เนื้อเรื่องยาวๆ ที่สนุกมาก ยิ่งเล่นเราก็ยิ่งอยากติดตามเนื้อเรื่อง คุณพ่อก็คอยแปลให้ฟัง แล้วพอเล่นไปนานๆ ศัพท์คำไหนที่เจอบ่อยๆ ก็จะจำได้เอง พออยู่ในห้องเรียนถ้าเป็นวิชาเลขเราเรียนยังไงก็ไม่เข้าใจ แต่พอเป็นวิชาภาษาอังกฤษสิคจะทำได้ดี จนตอนหลังไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ แต่หลายๆ เกมก็ทำให้เราไปรู้จักอีกหลายๆ ภาษา ทั้งญี่ปุ่น, จีน, รัสเซีย เพิ่มขึ้นด้วย

 

ในขณะที่หลายครอบครัวห้ามไม่ให้ลูกเล่นเกม แต่คุณพ่อและคุณแม่ของมิวสิคเลือกที่จะเล่นเกมด้วยกันกับลูก ส่วนตัวคิดว่าการเติบโตมาในบ้านแบบนี้มีความพิเศษอย่างไรบ้าง

นอกจากความสนุกกับภาษาอังกฤษที่บอกไป ของสิคจะพิเศษตรงที่คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกันแล้ว แต่เขาไม่ได้หย่ากันนะ แต่เหมือนเขายังอยู่ด้วยกันเพื่อให้สิคสบายใจ ทีนี้เวลามาเจอกันก็เลยจะคุยกันเหมือนเพื่อน พี่น้อง คุยกันแต่เรื่องธรรมดา ชีวิตทั่วไป แต่เวลาสิคไปหาคุณพ่อ เปิดเกมขึ้นมา แม่ก็จะมาเล่นด้วยกัน อย่าง Dokapon Kingdom นี่จะยิ่งสนุก เพราะชอบแท็กทีมกับคุณแม่แกล้งคุณพ่อ (หัวเราะ)

 

เพราะฉะนั้นการเล่นเกมด้วยกันทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น อย่างน้อยเราก็มีเรื่องสนุกๆ มาคุยกัน ไม่ใช่แค่เรื่องเครียดๆ บางทีแค่ถามว่าเล่นเกมนี้หรือยัง แค่นี้ก็คุยต่อกันได้ยาวแล้ว ไม่ต้องนั่งก้มหน้าเล่นแต่โทรศัพท์มือถืออย่างเดียว  

 

 

ก่อนที่จะเข้ามาเป็นสมาชิก BNK48 มิวสิคเคยมีความฝันอยากเป็นอย่างอื่นมาก่อนบ้างหรือเปล่า

ความฝันแรกที่อยากเป็นคือนักพากย์ เพราะชอบดูการ์ตูน แต่คุณปู่เป็นคนที่ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องการเรียน เลยคิดว่าทำอาชีพนี้ไม่รอดแน่ๆ ก็เลยพาไปหาหมอดูว่าสิคควรทำอาชีพอะไร (หัวเราะ) แล้วหมอดูบอกว่า ถ้าไม่ครูก็ต้องเป็นทนายหรือไม่ก็ผู้พิพากษา ซึ่งตอนนั้นแค่ ป.2 ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ปู่บอกว่าอะไรดีเราก็คิดว่าดี และเราไม่อยากทำให้ปู่ผิดหวัง เลยคิดว่า โอเค ความฝันตอนนั้นคือเราต้องเป็นครูหรือไม่ก็ทนายแบบที่ปู่บอกให้ได้

 

แต่ผ่านไป 1 ปี ก็เริ่มมีความคิดกบฏ (หัวเราะ) คิดว่าครูไม่ใช่แน่ๆ ตัดออกไปก่อน เราไม่น่าจะสอนใครได้ แต่กฎหมายยังชอบอยู่ เพราะคิดว่าคำนี้เท่ดี (หัวเราะ) แล้วก็เริ่มอยากเป็นทูต อยากทำงานอะไรก็ได้ที่ใช้ภาษา เพราะตอนนั้นเริ่มเล่นเกมกับคุณพ่อคุณแม่เยอะขึ้น แล้วพอเริ่มได้ดูการ์ตูนเรื่อง AKB0048 (แอนิเมชันว่าด้วยกลุ่มไอดอลสาวที่ต้องการใช้เสียงเพลงเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น) ได้รู้จักวง AKB48 จากคุณพ่อ เพราะพ่อก็เป็นโอตะวงนี้ เป็นโอชิมาเอดะ อัตสึโกะด้วย (หัวเราะ) เลยมีความฝันอยากเป็นนักร้อง นักเต้นเพิ่มขึ้นมา

 

พอรู้ตัวว่ามีความฝันอยากเป็นนักร้อง นักเต้น แล้วพยายามทำอย่างไรกับความฝันนั้นบ้าง

พยายามฝึกเต้นเป็นหลัก เริ่มสมัครเข้าวงเต้นคัฟเวอร์ ส่วนเรื่องสกิลร้องเพลงแทบเป็นศูนย์เลย เพราะว่าสิคอายเวลาร้องเพลง จริงๆ คนในบ้านไม่มีใครรู้เลยนะว่าสิคอยากเป็นนักร้องด้วยซ้ำ อาจจะมีแม่คนเดียวที่แอบรู้บ้างจากตอนไปส่งเต้นคัฟเวอร์ จนมารู้จริงๆ ตอนบอกว่าจะสมัคร BNK48 ทุกคนก็ ลูกร้องเพลงเป็นด้วยเหรอ คือไม่ได้ตกใจว่า BNK48 คืออะไร หรือจะต้องไปทำอะไร แต่เป็นห่วงกลัวลูกร้องเพลงไม่เป็นมากกว่า (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็ให้สิคลองทำในสิ่งที่อยากทำดู

 

แล้วคุณปู่ที่ซีเรียสกับเรื่องการเรียนมากๆ ล่ะ เขาว่าอย่างไรบ้างกับความฝันการเป็นไอดอลของเรา

โห พอกลับบ้านมาเจอปู่กลัวมาก พอเจอหน้ากันก็ยังถามประโยคเดิมว่า เรียนเป็นยังไงบ้าง ในใจนี่คิด ปู่เอ๊ย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วพอเขาพูดว่า เออ ปู่เห็นในทีวีแล้ว เต้นน่ารักดีนะ ตอนนั้นจะร้องไห้เลย ไม่คิดว่าคนที่เขาคาดหวังกับเรามากขนาดนั้นจะยอมให้เราทำอะไรแบบนี้ด้วย แต่คุณปู่ก็ยังย้ำนะว่าอย่าทิ้งการเรียน ซึ่งสิคก็คิดเอาไว้ว่าจะไม่ทิ้ง ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนกฎหมาย อยากทำในสิ่งที่คุณปู่อยากเห็นให้เกิดขึ้นได้ด้วย แต่ว่าตอนนี้ขอโฟกัสกับโอกาสที่ได้รับตรงนี้ก่อน

 

แต่พอเข้ามาจริงๆ ก็รู้เลยว่าการอยู่ตรงนี้ไม่ได้ง่ายแบบที่เราคิด ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความกดดันในวงเลยนะคะ แค่ความกดดันที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็หนักมากแล้ว ทั้งต้องพิสูจน์ตัวเองให้ปู่เห็น ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง ทั้งแรงกดดันหลายๆ อย่าง ที่คุณพ่อคุณแม่ได้รับ จากคำพูดที่บอกว่า ‘มีลูกเป็นดารา’ เพราะฉะนั้นถ้าสิคทำพัง หรือทำชื่อเสียงของตัวเองเสียหายเมื่อไร นั่นเท่ากับว่าคุณพ่อและคุณแม่ก็ต้องลำบากด้วย

 

 

แต่มิวสิคก็ถือว่าเริ่มต้นในฐานะไอดอลได้ดีทีเดียว เพราะเปิดตัวมาก็ได้เป็นเซ็นเตอร์ 2 เพลงติดกันเลย

นั่นยิ่งกลายเป็นความอยากอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ การเปิดมาแล้วได้เซ็นเตอร์ เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีอะไรแบบนี้ มันมีทั้งแรงกดดัน มีสายตาที่จ้องมาที่เราเยอะ เพราะว่าเราอยู่ตรงกลาง แล้วกลายเป็นมีคนเป็นพันๆ คนมารุมด่า ช่วงแรกๆ มีรู้สึกขึ้นมาเลยว่า เฮ้ย นี่มันใช่สิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เหรอ ซึ่งคำตอบที่ได้ตอนนั้นคือ เราชอบร้อง ชอบเต้น แต่เราไม่ได้อยากเป็นดารา สิคไม่ได้อยากออกสื่อแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อเราเลือกมาอยู่ตรงนี้ และได้รับโอกาสก็ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องปรับตัว ต้องรับฟังความคิดเห็นหลายๆ อย่างแล้วเอามาปรับปรุงให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง เมื่อก่อนอาจจะเคยคิดแค่ว่าแบบนี้ดีกับตัวเราแค่นั้นก็พอ แต่ตอนนี้ต้องคิดด้วยว่าโอเคกับคนอื่นด้วยหรือเปล่า มันต้องคิดเยอะขึ้นมากๆ จนเครียด จนเป็นไมเกรนและอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาด้วย

 

การที่ซิงเกิลที่ 3 ‘Shonichi’ มิวสิคก็จะได้กลับมาเป็นเซ็นเตอร์อีก มันยิ่งเพิ่มความกดดันให้ตัวเองมากขึ้นไปอีกไหม

เหมือนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น แล้วเพลง Shonichi ก็เป็นเซ็นเตอร์คู่กับพี่เนย (กานต์ธีรา วัชรทัศนกุล) ก็เริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น แต่เอาจริงๆ ถึงตำแหน่งนี้จะเป็นตำแหน่งที่ทุกคนอยากเป็น แต่พอได้เป็นจริงๆ มันไม่ได้สบายอย่างที่เราคิดนะ มันมีแต่จะกดดันมากยิ่งขึ้น

 

นิยามคำว่าเซ็นเตอร์ของสิคไม่ใช่แค่เป็นคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง แต่หมายความว่าถ้าคนอื่นทำได้ดี เราต้องทำให้ดีกว่าเขา เพราะต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเขาเลือกแล้วให้เราเป็นตัวแทนของเพลงนั้น คาแรกเตอร์ของเราต้องสื่อความหมายของเพลงนั้นให้ได้จริงๆ อย่างเพลง ‘Shonichi’ เป็นเพลงที่แสดงถึงความพยายามของพวกเราทุกคน อยากสื่อสารว่ากว่าที่พวกเรา BNK48 จะได้มาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นในฐานะเซ็นเตอร์เราก็ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้นอีกเพื่อสื่อเมสเสจ นั้นให้ชัดที่สุด

 

 

จริงๆ แล้วมิวสิคดูเป็นคนที่ซีเรียสกับการทำงานมากเลยนะ ค่อนข้างผิดกับภาพลักษณ์เวลาเห็นตามสื่อต่างๆ ที่จะเป็นคนสบายๆ พอสมควร

ค่อนข้างซีเรียสนะ สิคเป็นคนจริงจังกับทุกอย่างอยู่แล้ว เท่าที่เห็นคือสิคจะดูชิลล์ๆ สบายๆ แต่จริงๆ แล้วสิคเก็บมาคิดทุกคำพูด คิดมากด้วย (หัวเราะ) แต่เราไม่อยากปล่อยภาพลักษณ์ที่ดูเครียดออกมาให้ทุกคนเห็น เลยต้องพยายามทำให้เห็นว่าดูแฮปปี้ ร่าเริงตลอดเวลา

 

เคยคิดบ้างไหมว่าสิ่งที่แบกรับอยู่มันอาจจะหนักเกินไปสำหรับเด็กอายุ 17 ปีหรือเปล่า

โอ๊ย คิดอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่เป็นแค่ความรู้สึกอยากบ่น งานหนักเกินไป เครียด ไม่อยากทำแล้ว งอแง แต่อย่างที่บอกว่าพอเป็นงานของเรา ไอดอลคือคนที่ต้องแจกจ่ายความรักให้กับทุกคน เราอยากให้เขาได้รับสิ่งดีๆ จากเรา ไม่ใช่ส่งต่อแต่ความรู้สึกไม่ดีให้เขาต้องรู้สึกไม่สบายใจหรือว่าเป็นห่วงเราออกมา

 

ไอดอลคือคนแจกจ่ายความรัก แต่แน่นอนว่าต้องมีวันที่ความรักของเราหมดลง ไม่สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้ มิวสิคมีวิธีเติมความรักที่หายไปกลับมาได้อย่างไรบ้าง

มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์อินฟินิตี้ ในขณะที่สิคแจกจ่ายความรักให้แฟนคลับ พวกเขาก็ส่งความรักกลับมาให้สิคเหมือนกัน บางครั้งมันง่ายมากเลยกับการได้ยินประโยคว่า ‘การได้เห็นมิวสิคทำแบบนี้ๆๆ แล้วทำให้เรามีกำลังใจ ทำให้หายจากการเป็นโรคซึมเศร้า’ แค่นี้พอแล้ว มันทำให้รู้สึกว่าถึงแม้สิ่งที่เราทำอยู่จะเหนื่อยขนาดไหน แต่สิ่งนั้นไม่ไร้สาระ มีคนที่ได้รับความรัก ได้รับกำลังใจจากเราจริงๆ แล้วกลายเป็นความฮึดให้เราทำหน้าที่ตรงนั้นต่อไป แล้วอยากส่งต่อความรักที่ไม่มีวันหมดแบบนี้ให้เขาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดหน้าที่ของเราจริงๆ

 

 

เมื่อไรจะถึงจุดที่รู้สึกว่าหน้าที่ของมิวสิคจบลงแล้วจริงๆ

(คิดนาน) จริงๆ สิคเคยคิดจะแกรดฯ (ประกาศจบการศึกษา หรือพ้นจากการเป็นสมาชิก BNK48) เร็วมาก จนกระทั่งได้รับความรักทุกคนนี่ล่ะ เลยคิดว่ายังไปต่อได้อยู่ ตอนนี้ความคิดเรื่องแกรดฯ ก็เลยไม่มี แต่เคยคิดไว้ว่าถ้าสิคจำทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง นามสกุลของสมาชิกทั้ง 30 คนที่เข้ามาตอนแรกได้ครบเมื่อไรค่อยแกรดฯ ตอนนั้นแล้วกัน (หัวเราะ)

 

ตอนนี้จำได้กี่คนแล้ว

เฌอปราง อารีย์กุล, รินะ อิซึตะ, มิโอริ โอคุโบะ, เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ …เท่านี้แหละค่ะ (หัวเราะ)

 

แสดงว่าแฟนคลับยังสบายใจได้ เพราะดูแล้วน่าจะอีกนานกว่ามิวสิคจะจำได้ทั้งหมด

ใช่ๆ (หัวเราะ) เพราะสิคเป็นคนความจำสั้นมาก ใช้เกณฑ์นี้แหละดีแล้ว จะได้อยู่ไปนานๆ

 

 

ทำไมถึงคิดว่าอยากจบการศึกษาเร็วขนาดนั้น ทั้งๆ ที่มิวสิคก็ถือว่าเป็นสมาชิกอันดับต้นๆ ของวงมาตลอด

จริงๆ เพิ่งมาเริ่มคิดตอนหลุดเซ็นเตอร์เพลง KFC (Koisuru Fortune Cookie คุกกี้เสี่ยงทาย) เองนะ เป็นช่วงที่สิคได้พักผ่อนจริงๆ แล้วได้เห็นว่าตำแหน่งนั้นมันเครียดมากเลยเนอะ อย่างตอนที่ประกาศว่า โมบายล์ (พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค) เป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ ใจหนึ่งก็เครียดนะ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า ไอ้หนู ไม่รู้อะไรซะแล้ว (หัวเราะ)

 

ช่วงนั้นได้กลับมาค้นพบสิ่งที่พูดตอนแรกว่า เราแค่ชอบร้อง ชอบเต้น จริงๆ เราไม่ได้อยากออกสื่อ สิคเคยโดนผู้ใหญ่เตือนมาว่าต้องพูดให้มากกว่านี้เวลาออกทีวี แต่ในใจก็รู้สึกว่าเราทำไม่ได้ เลยคิดว่าการต้องมาเป็นคนของสังคมนี่ยากเกินไปสำหรับเราจริงๆ เลยรู้สึกว่าอยากแกรดฯ

 

จากคนที่ยืนอยู่ตรงกลางมาตลอด พอวันหนึ่งต้องไปยืนด้านข้าง มิวสิคได้มองเห็นหรือเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ เพิ่มเติมจากวิวด้านข้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง

รู้สึกว่าเราสูญเสียความเป็นตัวเองไปเยอะมากเลย เหมือนสิคเป็นเซ็นเตอร์ที่ทุกคนคิดว่ามิวสิคจะต้องเป็นแบบนี้ ก็เลยพยายามที่จะเป็นทุกอย่างของพวกเขา แต่พอเห็นโมบายล์แล้วรู้สึกว่าดีมากเลยที่น้องมีคาแรกเตอร์ของตัวเองที่ชัด ก่อนหน้านี้เวลาเต้นบางครั้งก็ไปก๊อบไลน์ของคนอื่นมาบ้างเพื่อให้ท่าของเราออกมาดีที่สุด แต่พอไม่ได้อยู่ตรงกลาง ไม่มีคนโฟกัสแบบเดิม ทำให้เรามีไลน์เต้นใหม่ๆ ที่ไม่ต้องเป็นไปตามที่คนอื่นต้องการ แล้วรู้สึกว่านี่ล่ะ คือสิ่งที่เราอยากทำ เราไม่อยากเป็นศิลปิน เราแค่อยากร้อง อยากเต้น มีความสุขที่จะได้อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปพูดหน้ากล้อง ได้เป็นคนธรรมดาที่ไม่ต้องถูกคาดหวังเยอะ ได้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ

 

แต่สุดท้ายก็ทิ้งความพยายามไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว มีแฟนคลับหลายคนที่เอาใจช่วยเราอยู่ มีคนที่อยากเห็นเรากลับมาเป็นเซ็นเตอร์อีกครั้ง กลายเป็นว่าความคาดหวังของเขากลายมาเป็นความหวังของสิคไปด้วย และเราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ถ้านั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข สิคก็จะพยายามทำให้ได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้คือ สิคจะเป็นเซ็นเตอร์ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย และจะรักษาความเป็นตัวเองไปพร้อมๆ กัน จะพยายามไม่ให้ความรู้สึกแบบเดิมเกิดขึ้นอีกแล้ว

 

 

เรื่องอะไรที่มิวสิคเคยพยายามทำแล้วรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

เรื่องคาแรกเตอร์ของตัวเอง เอาจริงๆ ถึงตอนนี้สิคก็ยังหาคาแรกเตอร์ของตัวเองไม่เจอ อย่างเคยเห็นพี่อร (พัศชนันท์ เจียจิรโชติ) เป็นแนวสวย มีความเป็นผู้ใหญ่ ก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นยังไง เห็นคุณไข่ (วรัทยา ดีสมเลิศ) ก็คิดว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ พยายามเป็นทุกอย่างที่เราคิดว่าน่าจะดี สุดท้ายเลยเป๋ไปหมดเลย

 

ตอนนี้กลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ขนาดไหนแล้ว

ไม่แน่ใจว่าหาตัวเองจริงๆ เจอหรือยัง แต่ที่รู้สึกดีขึ้นมากๆ คือไม่ค่อยมีความรู้สึกอิจฉาเพื่อนๆ คนอื่นแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สิคเดินไปบอกพี่เฌอปรางว่า “พี่เฌอหนูเกลียดพี่เฌอ” ซึ่งจริงๆ สิครักพี่เฌอมากเลยนะ สิครักทุกคนใน BNK48 ทุกคนในวงสำคัญกับสิคมาก แต่สิคก็อิจฉาพวกเขาในเวลาเดียวกัน เลยรู้สึกผิดมากๆ ที่เคยเป็นแบบนั้น

 

ตอนนี้ดีขึ้นมากเพราะเราไม่ต้องพยายามแล้วว่าจะต้องน่ารัก ต้องเป็นแบบไหน หรือต้องไปเลียนแบบใครอีก ถึงแม้จะยังตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่าสุดท้ายเราเป็นแบบไหน แต่อย่างน้อยก็ยังมีแฟนคลับที่รักที่เราเป็นแบบนี้ แล้วเราไม่ทำให้เขาผิดหวัง แค่นี้สิคก็ดีใจแล้ว แล้วหลังจากนี้ก็จะพยายามยิ่งขึ้นที่จะไม่ไขว้เขวและทำให้เขารู้สึกว่าเขากำลังจะสูญเสียมิวสิคของเขาไป

FYI
  • ก่อนหน้านี้มิวสิคเล่นเกม RoV กับคุณแม่แล้วติดมากๆ แต่ด้วยความเป็นเกมเมอร์หัวร้อนของมิวสิค ทำให้ต้องมาคุยกับคุณแม่อย่างจริงจังว่าควรเล่นเพื่อความผ่อนคลายไม่ใช่เครียดหนักกว่าเดิม จนตัดสินใจเลิกเล่นไปในที่สุด  
  • เห็นน่ารักๆ แบบนี้ แต่เกมที่มิวสิคชอบเล่นที่สุดคือเกมแมนๆ โหดๆ อย่าง Assassin’s Creed ที่ติดถึงขนาดต้องเล่นให้ครบทุกภาคที่ออกมา  
  • ตอนเด็กๆ มิวสิคซนมาก ชอบเอาสายหูฟังของคุณแม่มาตัดเล่น จนโดนตีด้วยไม้แขวนเสื้ออยู่เป็นประจำ
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising