×

สำรวจชีวิตวัย 36 ปีของ ‘ฮิวโก้’ เนื้องาน ดนตรี และวิถีร็อกแอนด์โรล

18.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • ฮิวโก้เชื่อว่า ภาษาคือรากเหง้าของความแตกต่างทั้งหมดที่เกิดขึ้น
  • “ตอนที่อยู่อเมริกา ได้เจอนักดนตรีเยอะมาก แล้วผมรู้ว่าคนที่ยิ่งเก่ง ยิ่งเซียน ยิ่งเรื่องน้อย ไอ้ภาพลักษณ์นักดนตรีจีเนียส เพี้ยนๆ ต้องจิต ติดยา รุนแรง นั่นโคตรปลอมเลย”
  • “นี่เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างใหม่ เพราะเมื่อก่อนผมค่อนข้างเอาแต่ใจ ผมทำเพลงออกมา พวกมึงรับไป กูคิดมาดีแล้ว รับไม่ได้คือมึงโง่ แต่ตอนนี้ผมคิดว่ากับคนที่เขาเอาด้วย ผมจะบริการพวกเขา”
  • ณ วันนี้ นิยามของวิถีร็อกแอนด์โรลที่แท้จริงของเขาคือ การตั้งใจทำงานที่รัก

      ความตั้งใจแรก THE STANDARD คิดไว้ว่าจะนัดลูกครึ่งหน้าหล่อ ตาดุ เคราครึ้มคนนี้คุยเรื่องการใช้ภาษาให้ตรงกับคอนเซปต์ ‘Hugo ภาษาแม่’ คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งล่าสุดที่จะเล่นแต่เพลงภาษาไทยอย่างเดียวตลอดทั้งโชว์ แต่ความคิดที่ผ่านการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดีตลอด 36 ปี หลังจากลืมตาขึ้นมาดูโลกของ ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์ ได้พาบทสนทนาครั้งนี้ขยายขอบเขตไปไกลจนเราแทบไม่ได้พูดถึงคอนเสิร์ตของเขาเลย

      ทุกๆ ครั้งที่เราโยนคำถามเกี่ยวกับ ‘ภาษา’ ไปให้ คำตอบที่ได้รับจะดำเนินต่อเนื่องไปได้เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ตั้งแต่เรื่องความแตกต่าง ความสงสัย แนวคิดคอนเซอร์เวทีฟ การเมือง ความคาดหวังที่มีต่อลูก เรื่อยไล่ไปถึงบทเพลง ดนตรีป๊อป ดนตรีเพื่อชีวิต และวิถีร็อกแอนด์โรล

      ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งที่นั่งคุยกัน เขายังคงเป็นฮิวโก้คนเดิมที่เราเคยรู้จัก ตอบทุกคำถามด้วยความคมคาย จริงใจ และตรงไปตรงมา เหมือนที่เขายืนยันมาตลอดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่า “ผมแค่ไม่ตอบคำถามที่โกหกใคร และจะไม่ทำอะไรที่โกหกตัวเอง”

 

 

ในฐานะที่เติบโตมาแบบเด็กสองภาษา คุณมองเห็นความแตกต่างอะไรบ้างระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทย

      ผมรู้สึกว่าภาษาเป็นรากเหง้าของความแตกต่างทั้งหมด มันบ่งบอกได้ถึงความแตกต่างเรื่องความคิดที่แยกออกจากกันไม่ได้ ถ้าคุณพูดภาษาใดภาษาหนึ่ง คุณจะคิดแบบนั้น มันบังคับและมีผลกับความคิดของคุณ

      ผมมาเข้าใจเรื่องนี้ตอนเริ่มเข้าวงการบันเทิง เริ่มเห็นถึงความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นจากวาจา เพราะอยู่ๆ จากที่รู้จักคนน้อยมากกลายเป็นรู้จักคนเป็นร้อย คำพูดเลยมีผลกระทบ มีคนวิเคราะห์สิ่งที่เราพูดแล้วเอาไปพูดต่อ เริ่มรู้สึกว่าเราเข้าใจแบบหนึ่ง คนส่วนมากเข้าใจแบบหนึ่ง ซึ่งคนส่วนมากคงเข้าใจถูก เพราะว่านี่เป็นภาษาที่เขาใช้กันอยู่

 

 

เรื่องไหนที่เป็น culture shock ที่สุดในวันที่เริ่มเข้าวงการ

      ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะภาษาโดยตรงหรือเปล่า อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาที่พูดถึง ผมตกใจกับเรื่องรอบตัวที่ทุกคนรู้กันอยู่ แต่พอผมพูดออกไปปุ๊บกลายเป็นเรื่องที่น่าตกใจ ถึงวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ประหลาดดีนะ อย่างตอนผมพูดเรื่องความซื่อสัตย์กับครอบครัว มันควรจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครๆ ควรจะรู้อยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าทุกคนให้ความสนใจหมดเลย ความตกใจที่เกิดขึ้นมันเหมือนเราละเมิดกฎเกณฑ์ของมารยาทหรืออะไรสักอย่างเมื่อพูดขึ้นมาหรือชี้ให้เห็น ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ ด้วยซ้ำ แล้วเมื่อก่อนผมก็พยายามพูดหรือชี้ให้เห็นในสิ่งที่ผมคิดว่ามันถูกต้องมาตลอด

 

 

แล้วคนก็ตกใจกับสิ่งที่คุณพูดมาตลอดเหมือนกัน

      แต่ตอนนี้ความเข้าใจของผมมันละเอียดขึ้นนิดนึงแล้วล่ะ ในเมื่อเรารู้กันหมดแล้ว เราจะพูดอีกทำไม ผมเข้าใจคนที่คัดค้านมากขึ้น เพราะมันมีความน่าหมั่นไส้อยู่ ยิ่งตอนหนุ่มๆ เคยคิดว่าต้องพูดเพื่อส่องแสงในที่มืดให้พวกคนโง่ได้เห็น แต่จริงๆ ทุกคนเห็นกันอยู่ก่อนแล้ว เขาแค่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องออกมาพูด พอผมยิ่งแก่ ผมยิ่งเป็นอนุรักษนิยมมากขึ้น รู้ว่ามีบางอย่างที่ควรพูดและไม่ควรพูด ความคิดเห็นของผมไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แล้วการยัดเยียดความคิดเห็นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เพลินสำหรับคนอื่นเท่าไร

 

 

เคยมีคนบอกว่าคนเราจะเป็นลิเบอรัลตอนอายุ 20 ปี แล้วจะค่อยๆ กลับมาเป็นคอนเซอร์เวทีฟมากขึ้นเมื่ออายุ 30 ฟังดูแล้วคุณก็เข้าข่ายนี้เหมือนกันนะ

      ใช่ครับ คำพูดนี้ฟังขึ้นนะ ผมว่าถ้าไม่เป็นอย่างนั้นอาจผิดปกติ มันอาจจะเรียกว่าเป็นวิวัฒนาการหรือความเสื่อมโทรมทางความคิดก็ได้ เพราะว่าตอนเด็กเราทำโน่นทำนี่ เราอยากให้มันถูกต้อง แล้วไม่อยากให้คนมาว่าที่เราทำอะไรแบบนี้ เลยหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

      ‘เหตุผล’ นั่นแหละที่ผมเรียกว่าฝั่งซ้าย มีอุดมการณ์ว่าโลกควรจะยุติธรรม โลกจะดีขึ้นได้ถ้าเราแค่ปรับนิสัยผิดๆ ของคนทั้งหลายให้เข้าใจว่าความดี ความถูกต้องอยู่ตรงไหน แต่พอเวลาผ่านไปจะเห็นว่ามนุษย์แทบไม่ได้เปลี่ยนเลย แล้วชีวิตเป็นเรื่องน่าเศร้าตรงที่มันทำอะไรไม่ได้ เราควรยอมรับกับความเศร้า ความโทรมของมันมากกว่า อะไรที่ดีอยู่แล้วก็พยายามรักษามันไว้ แล้วพอมีลูก ยิ่งขวาไปเลย ผมไม่ได้บอกว่าฝั่งไหนดีหรือไม่ดี มันแค่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับผม

 

 

การมีลูกส่งผลกับความคิดฝั่งขวาได้อย่างไร

      พอเป็นขวาปุ๊บ เราจะเริ่มรู้สึกว่ามันมีขาวดำ จากที่เคยคิดว่าทุกอย่างเป็นสีเทา เราจะทำอะไรก็ได้ แต่พอมีลูก มันไม่ใช่อะไรก็ได้ เหมือนเรามีหุ้นส่วนในอนาคตแล้ว จากเมื่อก่อนเราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสังคมเท่าไร จะเป็นยังไงช่างแม่งสิ เละเทะ เสเพล ใครทำอะไรก็ทำ ตัวเราเองก็ไม่จำเป็นต้องเคารพตัวเองเท่าไร แต่พอมีคนมาจ้องมองอยู่ หรือเอาเยี่ยงอย่าง เราต้องมานั่งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่เป็นเด็ก ทำให้กลับมามองตัวเองว่าเราอยากให้ลูกทำบางอย่างเหมือนที่เราทำไหม ก็ไม่ ความรู้สึกนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

      มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยนะ คือเรื่องเดิมๆ ที่ทุกคนต้องเจอ มีความกดดันเรื่องเงินๆ ทองๆ มีเรื่องการศึกษา ระเบียบวินัย เช่น เข้านอน ตื่นเช้า แต่งตัว พวกนี้เป็นเรื่องที่ต้องหาให้เจอ หาความสามารถในการจัดระเบียบชีวิตน้อยๆ ที่เกิดขึ้นมาให้ได้ ให้อย่างน้อยเขาได้เดินตามขั้นตอนที่ปกติและสมบูรณ์ มันดูเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีสาระ หรือไม่ได้มีความหมายในเชิงปรัชญา แต่พอมีลูกกลายเป็นมีผลกระทบกับชีวิตมากกว่าอ่านคัมภีร์เล่มไหนๆ

 

 

      ผมแทบเลิกคิดเรื่องความเป็น intellectual ความคิดทางปัญญาที่ลึกซึ้งไม่สำคัญเท่าไรแล้ว เพราะมีแรงกดดันทางธรรมชาติที่ต้องเจอ การจัดการเวลา จัดลำดับความสำคัญ สุขภาพ การกินอยู่ ไม่ใช่ความคิดที่เท่อะไรหรอก แค่มันจำเป็นต้องทำ ถ้าไม่ทำคือเป็นคนใช้ไม่ได้ อย่างน้อยในสายตาตัวเอง ภรรยา ลูก พ่อแม่ แม่ยาย หรือสังคมน้อยๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เราจะไม่ทำอะไรที่ทำให้เขาผิดหวัง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเหรอ วัยรุ่น ร็อกแอนด์โรล ก็ช่างแม่งไปสิ ส่วนตัวถ้าผมจะไปปรากฏตัวที่ไหน โดยสภาพที่เละแค่ไหนไม่สำคัญ เพราะแน่นอนว่าการเป็นพ่อที่แย่มันไม่เท่ การเป็นผู้ชายในวัย 30 ที่เหลวไหลไม่เท่ ความเลอะเทอะไม่มีทางเท่อยู่แล้ว

ความคาดหวังคือที่มาของความผิดหวัง และความผิดหวังคือหนึ่งในความรู้สึกแย่ที่สุดที่จะมีต่อคนอื่นได้

 

เคยคิดไหมว่าตอนวัยรุ่นอายุ 20 ปี ความเลอะเทอะก็คือความเท่อย่างหนึ่ง

      ถ้าคิดจากตอนนี้ก็ไม่เท่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นอาจจะมีบ้าง กาลครั้งหนึ่งคงคิดว่าภาพการคาบบุหรี่ แล้วเอาแจ็คแดเนียลส์มากระดกให้หมดขวดคือเท่ แต่ถ้าคุยกับปัญญาชนที่ไหนเขาก็รู้ไงว่ามันไม่ได้เท่

 

แล้วถ้าวันหนึ่งลูกคุณต้องไปคาบบุหรี่ กระดกแจ็คแดเนียลส์แบบนั้น คุณจะรู้สึกอย่างไร

      ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นมันสูง เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นยังไง เส้นทางนั้นมันมีจุดจบคือไม่เลิกก็ต้องตายแค่นั้น ผมไม่รู้ว่าอนาคตเป็นยังไง แต่ผมไม่จะไม่แนะนำและชักชวนให้ทำอะไรแบบนั้น วันที่เขาอายุมาก มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง เขาอาจจะต้องหลงทางบ้าง มันคงเป็นไปได้ยากที่จะดำเนินชีวิตในเมืองได้อย่างปลอดภัยจากทุกสิ่ง

 

เป็นไปได้ไหมว่าความสุ่มเสี่ยงที่คุณได้เจอในวงการบันเทิง เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณยืนยันมาตลอดว่าไม่อยากให้ลูกเข้าวงการ

      มีผลบ้าง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เท่าไร เพราะเด็ก 6 ขวบคงยังไม่ถึงวัยที่ต้องมากังวลกับเรื่องเซ็กซ์ ดรัก ร็อกแอนด์โรลหรอก ประเด็นคือคุณแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากเป็นคนดัง อยากเป็นคนที่ไม่รู้จักใคร แต่ทุกคนรู้จักเรา มันจำเป็นเหรอที่จะต้องเป็น หรือเขาอาจจะไม่อยากเป็นก็ได้

      วงการบันเทิงมีข้อดีเยอะมาก แต่ในเมื่อมันมีข้อเสียที่เท่าๆ กันกับข้อดี ก็ไม่เห็นต้องรีบเลือกสายงานตอน 6 ขวบเลย เพราะดังแล้วถอนตัวเองออกมาไม่ได้ มันมีผลตลอดชีวิต  

 

 

ต่อให้ไม่ได้กะเกณฑ์เส้นทางเอาไว้ แต่สำหรับคนเป็นพ่อ น่าจะต้องมีภาพบางอย่างที่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกหรือเปล่า

      ความคาดหวังคือที่มาของความผิดหวัง และความผิดหวังคือหนึ่งในความรู้สึกแย่ที่สุดที่จะมีต่อคนอื่นได้ รวมทั้งตัวเขาด้วยนะ ถ้ารู้ว่าเราผิดหวังในตัวเขา แล้วผมไม่อยากนึกถึงภาพนั้นเลย เพราะผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมอยากเรียนชีววิทยา อยากเรียนรู้เรื่องปลา อยากเป็นนักขุดไดโนเสาร์ และอีกหลายอย่างที่อยากเป็น แต่ผมไม่เคยได้เป็นแบบนั้นเลย เพราะฉะนั้นชีวิตไหลตามโอกาส ดวง พรสวรรค์ และกึ๋นที่อยู่ภายใน ใครจะรู้ว่าพอเวลาผ่านไป 10 ปี ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปหมดแล้วก็ได้

 

ความหวังเป็นหนึ่งในความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ คุณมีวิธีจัดการอย่างไรไม่ให้คาดหวังในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูกของคุณ

      ผมคาดหวังในเรื่องระดับมนุษย์ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าตอนอายุ 25 เขาจะเอาเงินมาจากไหน หวังแค่ว่าเขาจะมีเงินเดือนมาจากสักที่ที่สุจริตและถูกกฎหมาย แต่เรื่องในอนาคตใครจะรู้ล่ะ

 

ถ้าเป็นไปได้ ยังอยากกลับไปเป็นนักขุดไดโนเสาร์อยู่ไหม

      ไม่ เพราะถ้าเปลี่ยนอะไรตอนนั้น ผมก็ไม่มีลูก 2 คนนี้ ไม่มีเมียคนนี้ ไม่มีจุดที่ผมค่อนข้างโอเคกับสิ่งที่เลือก ต่อให้เปลี่ยนองศาอย่างหนึ่งที่ดูไม่มาก แต่พอผ่านไป 5 ปี มันจะห่างจากตรงนี้มากขึ้น ผมไม่พร้อมจะเสียอะไรที่มีอยู่ตอนนี้

 

กลับมาที่เรื่องภาษาบ้าง คุณเริ่มมาเห็นสิ่งที่เป็นความสวยงามของภาษาตั้งแต่เมื่อไร

      ในเพลงเพื่อชีวิตนี่ล่ะ ผมรู้สึกว่านั่นคือแหล่งอาศัยของภาษาไทยที่ลงตัวมาก  ผมชอบคาราบาว, คาราวาน, คำรณ สัมบุญณานนท์, พงษ์สิทธิ์ คำภีร์, วงฟุตบาท ฯลฯ โดยเฉพาะเพลง จดหมายถึงพ่อ ที่เป็นตัวอย่างที่ดีมากของศิลปะตรงนี้ อย่างท่อน “กระถินริมรั้วสูงขึ้นเลยบ่า พุ่มกระดังงาเลื้อยซุ้มประตู ทานตะวันชูคอ ชูช่อรออยู่ คงชะเง้อดูคอยพ่อกลับมา” สำหรับผม นี่คือระดับชั้นสูงสุดของการใช้ภาษา

 

 

ตอนร้องเพลงประกอบละครก็ไม่ได้เป็นเพลงเพื่อชีวิต ออกแนวป๊อปด้วยซ้ำ ตอนนั้นคุณร้องเพลงพวกนั้นด้วยความรู้สึกแบบไหน

      โชคดีที่เพลงดังของผม (คนไม่มีสิทธิ์ เพลงประกอบละคร ลูกผู้ชายหัวใจเพชร) พี่ไก่-สุธี แสงเสรีชน เขามีชั้นเชิงในการแต่ง ทำให้เพลงนั้นยังมีคนที่อยากฟังอยู่ตลอด แล้วผมคิดว่ามันก็เพราะดี มีเสน่ห์ของมัน ผมไม่เคยปฏิเสธวิจารณญาณของผู้ฟังนะ เพลงไหนที่ฮิต มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เพลงนั้นมีอายุมากกว่าหนึ่งถึงสองปี แต่พูดจริงๆ ว่าผมจำเพลงนั้นได้เพลงเดียว เพลงอื่นลืมไปหมดแล้ว เพราะมันไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรที่พูดกับเราแล้วน่าจดจำ หรือเพลงอื่นๆ ที่ผมวิจารณ์หนักๆ สมัยก่อน ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นยังไง หรือเพลงที่ได้ยินวันนี้ ผมก็ไม่เกลียดมันแล้ว เพราะได้ยินแล้วผมจะลืมทันที

 

 

มีเพลงป๊อปเพลงไหนบ้างที่มีน้ำหนักพอจะทำให้คุณชอบและจำได้

      มีเยอะอยู่เหมือนกัน อย่างเพลง 100 เหตุผล ของวง Ster เพลงนี้มีความจริงอยู่คือ ในร้อยเหตุผลที่เธอจะไป  มันมีเหตุเดียวที่จะให้เธออยู่ ผมเคยเป็นคนนั้น คนที่เคยถามเหตุผลว่าทำไมถึงต้องไป เขาจะอธิบายว่าเพราะชีวิตเป็นอย่างนี้ เขาต้องการอย่างโน้น เพราะเธอเป็นอย่างนั้น ฉันเลยเป็นอย่างนี้ เหตุผลมีเต็มไปหมดเลยสำหรับคนจะไป แต่สำหรับคนที่อยากให้อยู่ มันมีเหตุผลเดียวจริงๆ

 

 

ณ ตอนนี้ ตัวคุณเองคาดหวังกับความป๊อปมากขนาดไหน

      ไม่ เพราะผมอยู่ในจุดที่รู้แล้วว่าผมไม่ใช่สำหรับทุกคน ตอนไปทำเพลงที่อเมริกา ได้คลุกคลีกับคนที่ป๊อปจริงๆ อย่าง เจย์-ซี, บียอนเซ่ หรือ ริฮานน่า รู้เลยว่าผมไม่มีความเด็ดขาดที่จะพยายามทำทุกสิ่งอย่างเพื่อทำอะไรที่กินง่าย แล้วต้องง่ายกว่าคู่แข่ง ทั้งภาษาและเจตนารมณ์แบบนั้นผมไม่มีเลย ผมไม่เก่งเท่าคนที่อยู่ตรงนั้น และไม่เชือดเฉือนพอที่จะอยากประสบความสำเร็จ ยังมีความเขินอาย ความรักษาฟอร์ม และจริงๆ ผมมีระบบนิเวศที่ผมควรอยู่ ซึ่งผมอยู่ไม่รอดเมื่อไปอยู่ระบบนิเวศตรงนั้น

      ผมมองว่าเพลงป๊อปเป็นเหมือนงานช่าง ต้องมีทักษะ ดาบต้องคม อย่างพี่ฟองเบียร์ หรือพี่หนึ่ง-ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ที่เขาเข้าใจตรงนี้ดี ยิ่งเขาแต่งเพลงเยอะ เขายิ่งเข้าใจศาสตร์ของตัวเองมากขึ้น ยิ่งคล่องแคล่วและมั่นใจพอที่จะทำไปได้เรื่อยๆ พอผมทำไม่ได้ก็เหมือนมาอยู่อีกที่หมวดหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่ายังมีกลุ่มคนฟังเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงได้ในตลาดที่ซับซ้อนกว่านั้นนิดนึง

 

ใช้คำว่าคุณยอมแพ้ความป๊อปได้หรือเปล่า

      ได้ ต้องยอมรับกับตัวเอง เข้าใจตัวเอง หลังจากนั้นจะขายตัวเอง ขายงานของตัวเองเป็น เพราะรู้แล้วว่าเราควรอยู่จุดไหน แล้วจะทำงานง่ายขึ้น มีช่วงงงๆ ระหว่างทำเพลงที่อเมริกากับการกลับมาเมืองไทย ผมเพิ่งมาคลี่คลายตอนทำอัลบั้ม Deep In The Long Grass (2014) เพราะเห็นผลตอบรับทั้งเพลงและเรื่องธุรกิจ พอยอมรับโหมดที่เหมาะสมที่สุด การเงินก็ดีขึ้น เรนจ์ค่าตัวสูงกว่าสมัยทำวงสิบล้อ ทั้งๆ ที่สิบล้อป๊อปกว่าเยอะ

 

ช่วงทำวงสิบล้อ คาดหวังกับความป๊อปของตัวเองและวงมากขนาดไหน

      เราคิดไว้ว่าจะเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยแน่ๆ เพราะเรามาถูกทาง เจตนาเราบริสุทธิ์กว่าวงอื่น มีคอนเสิร์ตมากกว่าวงอื่น ไม่ได้เฟกด้วยการเอาชื่อฝรั่งมาตั้ง ไม่ได้เป็นวงที่ค่ายสร้าง เราคัดค้านทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน เราก็กำลังคัดค้านทุกอย่างที่จะทำให้ป๊อปและประสบความสำเร็จด้วย (หัวเราะ) เขาเล่นเก่งใช่ไหม พวกเราเล่นห่วย เขาชื่อฝรั่งใช่ไหม เราชื่อไทย เขาพยายามหรูใช่ไหม เราพยายามบ้านนอก มึงคิดว่ากูเป็นพระเอกใช่ไหม เดี๋ยวกูจะเซอร์ให้ดู

      ตอนนั้นมีความคิดว่าเราต้องลบล้างทุกอย่าง โดยเฉพาะภาพพจน์ที่คนอื่นสร้างขึ้นมา ผมคิดว่ามันผิดจนต้องทำลาย มีช่วงเวลาที่ผมไม่ชอบเวลามีคนมาเรียกว่าฮิวโก้ด้วยนะ ทำไมล่ะ คนสวนที่บ้านเรียกว่าเล็กมาตั้งแต่เด็ก แล้วอยู่ๆ มึงมาเรียกฮิวโก้ๆ แต่ทุกอย่างมันเป็นความคิดภายในของผมนะ ไม่ใช่ความคิดของคนภายนอก เขาคิดว่าผมชื่อฮิวโก้ ก็ต้องเรียกฮิวโก้สิ แต่ในใจจะคิดว่า ไม่ กูชื่อเล็ก

 

 

พอมองย้อนกลับไป เคยรู้สึกไม่ชอบหรือหมั่นไส้ในความคิดของตัวเองบ้างไหม อย่างที่คิดว่าเจตนาของตัวเองบริสุทธิ์ที่สุด ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาก็อาจจะคิดว่าเจตนาของเขาบริสุทธิ์ไม่แพ้คุณเหมือนกัน

      มีที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดออกไป มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีคนเสียใจ ส่วนเรื่องเจตนา ผมก็คิดว่ายังจริงอยู่ในระดับหนึ่ง ตรงที่ว่าไอ้เจตนาตรงนั้นมันนำผมมาสู่จุดนี้ที่ผมค่อนข้างยินดีที่จะอยู่ ช่วง 1-2 ที่ผ่านมาเป็นช่วงชีวิตที่ผมโตขึ้น รู้สึกว่าควบคุมอะไรในงานได้มากขึ้น และผลตอบรับก็ยิ่งดีขึ้นด้วย มันตอบผมว่า ในจุดหนึ่งผมถูกต้องที่คิดแบบนี้ ที่ดื้ออย่างนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ผมคิดว่าเจตนาไม่สำคัญเท่าไร เพราะว่าผลที่เกิดขึ้นสำคัญกว่าเจตนา ผมไม่เจตนาขับรถชนคนตายหรอก แต่เขาตาย เจตนาไม่สำคัญแล้ว

      ผมไม่ได้เจตนาให้มีรัฐบาลทหาร แต่ผมไปประท้วงตอนปี 2549 นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่ผมกำลังรุนแรงในตอนนั้น พอมองกลับไปแล้วเห็นทุกอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำๆ วนเวียนเหมือนเดิม ก็เริ่มรู้สึกว่าโลกมันเปลี่ยน เจตนาจะบริสุทธิ์ยังไงก็เถอะ แต่ถ้าผลมันออกมาแย่ก็คือแย่

      แล้วเราต้องยอมรับเมื่อมันเกิดผลจากการที่เราไปมีส่วนร่วมกับอะไรก็ตาม เราต้องรับผิดชอบ ถึงแม้เราจะเป็นแค่คนเดียว แต่ถ้ามันมีผลจากการตัดสินใจทำอะไร เหมือนตอนสิบล้อที่เคยคิดว่าเจตนาบริสุทธิ์ แต่ถ้าเล่นดนตรีหมาไม่แดกแล้วใครจะฟัง

 

ขอกลับมาที่เรื่องภาษาอีกรอบ ณ ตอนนี้มีเรื่องอะไรในภาษาไทยบ้างที่คุณไม่ชอบ หรือสงสัยมากที่สุด

      ไม่ได้ไม่ชอบขนาดนั้นนะ แค่ผมรู้สึกว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ก่อนจะเริ่มสนทนามันมีเรื่องของรุ่น วรรณะ หรือชนชั้นเกิดขึ้นทันที แค่พี่ น้อง ผม กู มึง เปิดมามันแสดงให้เห็นแล้วว่าใครเป็นใคร แต่ความน่ารักของตรงนั้นคือพอเราพูดกัน เหมือนเรารับผิดชอบกันมากกว่าฝรั่ง เราคำนึงว่าใครเป็นใครแล้วให้ความสำคัญ ภาษาอังกฤษ ไอ ยู มึงจะไปตายยังไงก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ แล้วผมไม่ได้ชอบที่เมืองไทยจะเสียตรงนี้ไป อย่างช่วงที่ผมกลับมาเห็นการพูดกันที่เปลี่ยนไปก็ตกใจเหมือนกันนะ เดี๋ยวนี้เด็กกับผู้ใหญ่เขาพูดกันอย่างนี้เลยเหรอ

 

คุณมีปัญหาหรือกังวลบ้างไหมกับเรื่องภาษาวิบัติ หรือภาษาที่ใช้อินเทอร์เน็ตที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

      ไม่กังวล ถ้าไปกังวลกับความจริงที่หักห้ามไม่ได้เราจะเหนื่อยฟรี แน่นอนล่ะ ถ้าอะไรมันไม่เสื่อมโทรมลงไปกว่านี้ก็คงจะดี แต่ถ้ามันต้องเสื่อมโทรมลงจริงๆ ผมคงไม่มานั่งต่อสู้กับสังคมแล้ว เพราะสังคมไม่ใช่อะไรที่เราจะหล่อหลอมได้ หรือต้องไปคาดหวังอะไรกับมัน มันคือผลงานรวมของทุกคนที่อยู่กันตรงนี้ ผมไม่ได้มีทิศทางกำหนดอะไรได้

 

สมัยเล่นละครล่ะ เคยรู้สึกไม่เข้าใจในคำพูดไหนของตัวละครที่คุณต้องพูดออกไปบ้าง

      โอ้ ขยะแขยงแทบตลอดเวลาเลย ไม่เคยเข้าใจเลย บอกก่อนว่าการอยู่กองถ่ายละครเป็นช่วงที่ผมมีความสุขนะ กองถ่ายมีข้อดีอะไรเยอะมาก แต่ประโยคแต่ละสิ่งที่พูดออกมา มันดูห่างไกลจากภาษาพูดเหลือเกิน

 

ยกตัวอย่างสักหนึ่งประโยคที่ยังฝังใจคุณมาถึงทุกวันนี้

      “มือคุณบอบบางจังเลย ผมอยากทะนุถนอมจนวันตาย” ในเรื่อง ใกล้ไกลหัวใจเดียวกัน เรื่องแรกที่เล่นเลย

 

ตอนนั้นยังเด็ก ยังวัยรุ่น เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ คุณแสดงออกกับสิ่งที่ไม่ค่อยชอบใจตรงนั้นบ้างไหม

      ตลอดเวลา ผมคงเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วลำบาก ปวดหัวใช้ได้เลย ผมขึ้นชื่อเลยตอนนั้น รู้สึกว่าคนเขาหลอนแล้วก็หนาวขี้กับผมเหมือนกัน (หัวเราะ) พอเจอแบบนั้นมากๆ เข้าผมเลิกเล่นละครเลย ผมรับปากกับพี่ตุ๊กตา (จิตรลดา ดิษยนันทน์ – ผู้จัดละครค่ายกันตนา) แต่ก็ไม่ได้เล่น ซึ่งผมรักครอบครัวกันตนามากนะ ผมเลยไม่รับเล่นละครของที่อื่น แต่การเล่นละครไม่เหมาะกับผมจริงๆ

 

 

จากการตอบคำถามหลายๆ ครั้ง รวมทั้งการตัดสินใจหลายๆ อย่าง เคยรู้สึกบ้างไหมว่าตัวเองมีความสุดโต่งอยู่ในตัวสูงเหมือนกัน อย่างคอนเสิร์ต ‘Hugo ภาษาแม่’ ครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็ตัดสินใจเล่นแต่เพลงภาษาไทยอย่างเดียวเลย

      ผมไม่รู้ว่าคนอื่นมองว่าสุดโต่งหรือเปล่า แต่สำหรับผม แค่ไม่ตอบคำถามที่โกหกใคร และจะไม่ทำอะไรที่โกหกตัวเอง อย่างคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็คิดแค่ว่าถ้าทำคอนเสิร์ตแล้วขายบัตร มันไม่ควรจะมีอะไรที่คล้ายหรือเหมือนเวลาออกไปเล่นตามร้านหรือเทศกาล มันเป็นสินค้าคนละชิ้น ผลงานคนละแบบ คนละราคา คอนเสิร์ตอย่างน้อยต้องมี 1,000-2,000 บาท มันไม่ควรเป็นโชว์เดิมที่ไปดูได้ในงานเทศกาลดนตรีราคา 500 บาท แถมมีไม่รู้กี่วง ต้องมีธีมหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เหนือชั้นกว่าคอนเสิร์ตที่เขาหาดูได้ง่าย ครั้งนี้คิดว่าปล่อยอัลบั้มเพลงภาษาไทยออกมา ควรเอาเพลงสากลพักไว้ก่อน เพราะคอนเสิร์ตทุกครั้งที่ผ่านมา ผมก็จะเล่นเพลงทั้งอัลบั้ม ผมอยากพาเพลงไปเที่ยวทั้งชุดอยู่แล้ว

      พักหลังเวลาไปเล่นที่ไหน จะมีคนตะโกนว่าอยากฟังเพลง แมลงเม่า, ดาราริมรั้ว, มนต์รักสิบล้อ เลยรู้สึกว่าจะเป็นอะไรไปถ้าเราจะทำตามที่ชาวบ้านเขาเรียกร้องกันบ้าง นี่คือพยายามเอาใจกลุ่มแฟนเพลงที่หลากหลายและเดาใจยาก ในเมื่อเขาบอกเราค่อนข้างตรงแล้วว่าเขาอยากได้อะไรก็ตามนั้น

 

ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนอย่างคุณจะเอาใจแฟนคลับเป็นด้วย

      เพราะผมไม่เคยเอาใจใครเลยจนกระทั่งจุดนี้ไง (หัวเราะ) แต่การเดินทางทั้งหมดทำให้เห็นความสำคัญของคนที่สนับสนุนให้ผมได้ทำงานตรงนี้ต่อไป ตอนนี้ผมอายุ 36 แต่ยังมีราคาในท้องตลาดที่โอเค เริ่มรู้สึกว่ามันมีความสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างผมกับแฟนเพลง ซึ่งทั้งห่างเหินแล้วก็ใกล้ชิด บางทีเหมือนเขาเข้าใจผมมากกว่าคนใกล้ตัวอีก เพราะบางเรื่องที่พูดในเพลง ผมยังไม่เคยพูดกับแม่หรือเมียด้วยซ้ำ เขาเห็นความสำคัญของโชว์และเพลงของผม เขาคงได้เห็นอะไรบางอย่างใกล้เคียงความจริงกับสิ่งที่ผมพยายามจะเป็นอยู่ นี่เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างใหม่ เพราะเมื่อก่อนผมค่อนข้างเอาแต่ใจ ผมทำเพลงออกมา พวกมึงรับไป กูคิดมาดีแล้ว รับไม่ได้คือมึงโง่ แต่ตอนนี้ผมคิดว่ากับคนที่เขาเอาด้วย ผมจะบริการพวกเขา

 

นอกจากเรื่องแฟนคลับ มีเรื่องอะไรอีกไหมที่ความคิดของคุณเปลี่ยนแปลงไปในวัย 36 ปี

      เรื่องนี้ผมรู้มาก่อนหน้านี้สักพักหนึ่ง ตอนที่อยู่อเมริกา ได้เจอนักดนตรีเยอะมาก แล้วผมรู้ว่าคนที่ยิ่งเก่ง ยิ่งเซียน ยิ่งเรื่องน้อย ไอ้ภาพลักษณ์นักดนตรีจีเนียสเพี้ยนๆ ต้องจิต ติดยา รุนแรง นั่นโคตรปลอมเลย เป็นนิยายร็อกแอนด์โรลที่พวกคนพังๆ เอามาแพร่หลายเพื่อขายเสื้อยืด ขายเหล้า และขายอัลบั้ม ซึ่งเขาสร้างนิยายแบบนั้นขึ้นมาเพื่อเข้าข้างตัวเองไง บอกว่ามันคือสิ่งที่ดี แล้วเขาจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง

 

เคยหลงอยู่ในนิยายร็อกแอนด์โรลแบบนั้นบ้างหรือเปล่า

      แน่นอน ตั้งวงแรกๆ ก็หลงแล้ว มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ผิด มีสิ่งเดียวที่เป็นเรื่องดีคืออย่างน้อยเรากล้าทดลองในสิ่งที่เราเชื่อ เราอยากแตกต่างจากกระแสหลัก แต่รวมๆ แล้วมันไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลย แล้วพอเจออะไรก็พุ่งเข้าไปใส่

      แต่เรื่องพวกนี้ขึ้นอยู่กับโอกาส ผมรู้จักนักดนตรีบางคนที่ไม่มีโอกาสใช้ชีวิตแบบนั้น เพราะสภาพแวดล้อมเป็นอีกแบบ หรือโปรดิวเซอร์คนหนึ่งที่เขาค่อนข้างต้องอยู่ในร่องในรอย เพราะเขามีลูกเร็วจนไม่สามารถเหลวไหลได้ในวันที่ผมกำลังเหลวไหลอยู่ จนกระทั่งลูกเขาโตนั่นแหละ แล้วเพิ่งมาเละในตอนท้าย (หัวเราะ)

 

 

แบบนี้พอจะพูดได้ไหมว่าความเลอะเทอะ เหลวไหล คือความจำเป็นสำหรับร็อกแอนด์โรล เพื่อที่จะกลับมาบรรลุอะไรสักอย่างได้ในวันหนึ่ง

      ไม่รู้ว่ามันใช่ความเหลวไหลหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นคือการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ การรู้จักคน เจอสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ถ้าเราโตมาแบบไหน เราควรหาคนที่โตมาอีกแบบหนึ่งแล้วไปอยู่กับเขา พยายามอยู่กับเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้ววันหนึ่งคุณจะหาเส้นทางที่เหมาะสมได้เอง ทุกวันนี้พอกลับไปมองนิยามเซ็กซ์ ดรัก ร็อกแอนด์โรลที่เคยคิดว่านั่นคือเรียลร็อก ก็ยังรู้สึกอยู่นะว่ามันปลอม มันคือการเสียเวลา

 

ตอนนี้นิยามคำว่าร็อกแอนด์โรลของคุณคืออะไร แล้วคุณได้เข้าไปใกล้จุดนั้นหรือยัง

      ใกล้แล้ว คือรักงาน ตั้งใจทำงาน ถ้ามึงจ่ายกูได้ กูไป ขึ้นตรงเวลา อยากให้เล่นนานแค่ไหนบอกมา เป๊ะ ไม่พัง ไม่เละเทะแน่นอน สายขาด ไฟช็อตก็จะเล่นต่อ ให้เดินทางสิบชั่วโมงก็ได้ แบบที่ชัค แบรดลีย์ หรือ เจมส์ บราวน์ ทำ นั่นล่ะคือร็อกแอนด์โรล

FYI
  • ตอนอายุ 5-6 ขวบ ฮิวโก้เคยดื้อและไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับคนที่มาพูดด้วยแม้แต่คนเดียว
  • เพลงเพื่อชีวิตเพลงแรกที่ฮิวโก้ประทับใจและเปิดโลกสู่การฟังเพลงเพื่อชีวิตคือ อเมริโกย ของวงคาราบาว
  • บ็อบ ดีแลน และ เลนเนิร์ด โคเฮน เป็นต้นแบบการแต่งเพลงเนื้อเพลงภาษาอังกฤษของฮิวโก้
  • หนังสือ หลายชีวิต ของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช คือหนังสือภาษาไทยที่มีอิทธิพลกับการใช้ภาษาของฮิวโก้มากที่สุด
  • คอนเสิร์ต Hugo ภาษาแม่ จัดขึ้นวันที่ 15 กันยายน 2560 ที่ไบเทคบางนา ฮอลล์ 107 บัตรราคา 1,000-2,000 บาท ซื้อบัตรได้ที่ Thai Ticket Major ทุกสาขา
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising