×

มุมไบขึ้นแท่นเมืองหลวงเศรษฐีแห่งเอเชียแซงหน้าปักกิ่ง

30.03.2024
  • LOADING...
มุมไบ

ในปี 2024 โลกมีมหาเศรษฐีพันล้านอยู่ทั้งหมด 3,279 คน เพิ่มขึ้นมา 5% จากปีที่แล้ว

 

รายงานการจัดอันดับประเทศที่มี ‘มหาเศรษฐี’ ระดับพันล้านมากที่สุดในโลกล่าสุดจาก Hurun Research Institute ประจำปีพบว่า มุมไบขึ้นเป็นเมืองหลวงสำหรับเศรษฐีแทนที่นครปักกิ่งประจำภูมิภาคเอเชียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดียก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เมืองที่มีมหาเศรษฐีพันล้านของเอเชียที่ 92 คน นำโดย Mukesh Ambani แห่ง Reliance Industries ที่ครองความมั่งคั่งส่วนตัวถึง 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม มุมไบ ยังอยู่ลำดับที่ 3 ตามหลังมหานครนิวยอร์กที่มี 119 คน และลอนดอน 97 คน

 

หากขยายภาพกว้างขึ้นมามองในระดับประเทศ อินเดียคือประเทศที่การขยายตัวของเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุด โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 เติบโตได้ถึง 8.4% ซึ่งในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็เป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งแซงฮ่องกงในฐานะตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก ด้วยมูลค่ารวม 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

สำหรับประเทศจีนยังคงเป็นประเทศที่มีจำนวนมหาเศรษฐีระดับพันล้านมากที่สุดในโลกที่ 814 คน แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียคนกลุ่มนี้ไป 155 คนในปีที่แล้ว ตามด้วยสหรัฐอเมริกาจำนวน 800 คน และอินเดียในอันดับ 3 ที่ 271 คน

 

“ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่สำหรับจีนจากสถานการณ์ความวุ่นวายในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การสร้างความมั่งคั่งของคนในประเทศถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญ” รายงานระบุ

 

Zhong Shanshan ผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำดื่มบรรจุขวด Nongfu Spring ยังคงรั้งบุคคลที่มั่งคั่งมากที่สุดประจำแดนมังกร โดยมี Colin Huang ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo บริษัทอีคอมเมิร์ซตามมาเป็นอันดับ 2 นำหน้า Ma Huateng ซีอีโอของ Tencent ในปีนี้

 

ในส่วนของสหรัฐฯ ที่มีมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นมา 14 คนจากอานิสงส์ของกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้ Jensen Huang ผู้ก่อตั้ง NVIDIA ที่ได้รับความสนใจในวงการ AI เข้ามาอยู่ในลิสต์มหาเศรษฐี 30 อันดับแรก แต่ Jeff Bezos และ Elon Musk คือสองบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงในสหรัฐฯ ที่ 201,000 ล้านดอลลาร์ และ 190,000 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ

 

Taylor Swift ก็เข้ามาอยู่ในลิสต์ของ Hurun ด้วย หลังจากที่เจ้าตัวเริ่มเดินสายแสดงคอนเสิร์ต The Eras Tour เมื่อเดือนมีนาคมที่จัดขึ้นแล้วในสหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, อเมริกาใต้, สิงคโปร์, โตเกียว และกำลังดำเนินต่อในอีกหลายประเทศทั่วโลก

 

โดยสรุปสาเหตุที่อินเดียได้รับความสนใจจากทั่วโลก ส่งผลให้อินเดียมีมหาเศรษฐีพันล้านเพิ่มขึ้นมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐฯ และทำให้มุมไบเป็น 1 ใน 3 ของเมืองหลวงสำหรับกลุ่มมหาเศรษฐี

 

เบียดฮ่องกง ขึ้นรั้งอันดับ 4 ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

 

รายงานข่าวจาก Bloomberg ระบุว่า ณ ช่วงปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา มูลค่ารวมของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียมีมูลค่าถึง 4.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นฮ่องกงซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 4.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้อินเดียเป็นตลาดตราสารทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก หลังจากที่มูลค่าตลาดหุ้นของอินเดียเพิ่งจะทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยเกือบครึ่งของมูลค่าดังกล่าวเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาเพียง 4 ปีที่ผ่านมา 

 

ด้านผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในภาวะเฟื่องฟูเพราะอานิสงส์จากฐานนักลงทุนรายย่อยที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และผลกำไรของบริษัทที่แข็งแกร่ง โดยที่ผ่านมาอินเดียประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นทางเลือกแทนจีน และสามารถดึงดูดเงินทุนใหม่ๆ จากนักลงทุนและบริษัททั่วโลก ภายใต้การเมืองที่มีเสถียรภาพ นโยบายสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายใน ทำให้อินเดียยังคงเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 

 

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นขาขึ้นของอินเดียยังมีขึ้นในช่วงเวลาขาลงของตลาดหุ้นฮ่องกงที่เต็มไปด้วยบริษัททรงอิทธิพลและยักษ์ใหญ่สายเทคโนโลยีของจีนมากมาย โดยนักวิเคราะห์มองว่า เศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้ช้ากว่าคาด บวกกับวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กับชาติตะวันตก ทำให้หุ้นในตลาดฮ่องกงลดความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนจนพากันถอนเงินลงทุนออกมา 

 

ทั้งนี้ มูลค่าของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงร่วงลงกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 2021 ขณะที่การจดทะเบียนของบริษัทใหม่ในตลาดฮ่องกงก็ลดลง ทำให้สถานะการเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งเอเชียของฮ่องกงเริ่มสั่นคลอน 

 

Evan Metcalf ซีอีโอของ Global X ETFs ระบุว่า ขณะที่การเติบโตของจีนหยุดชะงัก และติดหล่มอยู่ในความไม่แน่นอน อินเดียซึ่งมีความได้เปรียบในแง่ของประชากรอายุน้อยที่มีการศึกษา และรัฐบาลที่เร่งเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างสำคัญของประเทศ ทำให้อินเดียกลายเป็นดาวรุ่งที่โดดเด่นในสายตานักลงทุนได้ไม่ยาก แม้ว่าจะมีนักกลยุทธ์บางคนมองว่าตลาดหุ้นจีนปี 2024 จะมีโอกาสพลิกฟื้นกลับมาแซงหน้าอินเดียก็ตาม 

 

ภาพ: Tuul & Bruno Morandi / Getty Images

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising