×

ก้าวไกลถามอนุทิน ออกกฎเกณฑ์แยกผู้ค้า-ผู้เสพยาบ้าใหม่ อาจผลักผู้ป่วยเป็นอาชญากร แนะใช้การพิสูจน์คัดแยกดีกว่าการสันนิษฐาน

โดย THE STANDARD TEAM
31.01.2023
  • LOADING...
วาโย อัศวรุ่งเรือง

วานนี้ (30 มกราคม) นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นกรณี อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศเมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา เรื่อง การแก้ไขกฎกระทรวงที่กำหนดหลักเกณฑ์กำหนดการครอบครองยาบ้าเกิน 1 เม็ดเป็นผู้ค้า ว่า อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาเกณฑ์การพิจารณาในการแยกตัวผู้เสพออกจากผู้ค้าเพื่อรับการบำบัด ที่ปัจจุบันเกณฑ์ดังกล่าวก็มีปัญหามากอยู่แล้ว

 

นพ.วาโย ระบุว่า นโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ของประเทศไทยที่ผ่านมา วางอยู่บนหลักการที่ว่าต้องแยกผู้เสพออกจากผู้ค้า โดยถือว่าผู้เสพเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ไม่ใช่อาชญากร ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่าเป็นหลักการที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่วิธีการที่ใช้ในการแยกตัวผู้เสพออกจากผู้ค้าที่ผ่านมามีปัญหาอยู่มาก 

 

เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีหลักการสันนิษฐานไว้ก่อน (Assumption of Law) ว่าผู้ที่ครอบครองเกินกว่า 15 หน่วยการใช้ถือว่าเป็นผู้ค้า ปัญหาของเกณฑ์แบบนี้คือ การแยกผู้ค้าออกจากผู้เสพจะทำได้ยากหรือไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะหากตัดเม็ดยาบ้าให้เป็น 4 ขา ก็นับเป็น 4 หน่วยการใช้ ถ้าบุคคลหนึ่งที่เป็นเพียงผู้เสพมียาบ้า 4 เม็ด แต่ตัดเป็นเม็ดละ 4 ขา จะกลายเป็นว่าคนคนนั้นมี 16 หน่วยการใช้ และต้องถูกตีความให้เป็นผู้ค้าทันที เป็นการตีกรอบที่ส่งผลต่อดุลพินิจในการพิจารณาคดี ให้ศาลต้องตีความได้ประการเดียวว่าผู้ครอบครองเกินเกณฑ์ 15 หน่วยการใช้ต้องถูกนับให้เป็นผู้ค้าเท่านั้น ทั้งที่หากสืบข้อเท็จจริงเป็นรายบุคคลไป อาจเป็นเพียงแค่ผู้เสพหรือผู้ป่วยที่ควรจะต้องได้รับการบำบัดมากกว่าการเอาไปขังก็ได้

 

นพ.วาโย ระบุต่อไปว่า ที่ผ่านมางานวิจัย การศึกษา และสถิติ ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศยังได้บ่งชี้ตรงกันว่า การใช้หลักกฎหมายแบบสันนิษฐานไว้ก่อนเช่นนี้ไม่ได้ผลในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเพียงพอ และยังก่อให้เกิดผลในทางกลับกันคือ คดียาเสพติดและจำนวนผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติดที่เพิ่มมากขึ้น เกิดการผลักให้ผู้เสพซึ่งควรเป็นผู้ป่วยกลายเป็นผู้ค้าแทน

 

ดังนั้นการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะปรับเกณฑ์จาก 15 หน่วยการใช้เป็น 2 เม็ดให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ค้า อาจยิ่งทำให้เกิดปัญหาช่องโหว่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ไม่สมกับเจตนารมณ์ในการเอาผู้ป่วยมาเข้ารับการบำบัด และยิ่งซ้ำเติมปัญหาคนล้นคุก 

 

และเมื่อเอาสถิติมาดูก็จะพบว่า 60-70% ของคนที่ติดคุกมาจากคดียาเสพติด และส่วนใหญ่ก็เป็นรายย่อยกว่า 80-90% ทั้งยังมีบางส่วนที่ความจริงควรถูกนับเป็นผู้ป่วย แต่กลับถูกผลักให้เป็นอาชญากรไปเสีย และทำให้ต้องฝากถามไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าการผลักดันเกณฑ์เช่นนี้ออกมาอาศัยผลการศึกษาเชิงประจักษ์ เอกสารทางวิชาการ หรือข้อมูลเชิงสถิติ จากทั้งในและต่างประเทศมาประกอบการพิจารณาแล้วหรือไม่ มีข้อบ่งชี้จากผลการศึกษาเหล่านั้นแล้วหรือไม่ว่าหากมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เช่นนี้แล้วจะทำให้เกิดการแก้ปัญหาได้จริงๆ

 

“นโยบายเช่นนี้ในขาหนึ่งอาจป้องปรามยาเสพติดได้จริง แต่อีกขาหนึ่งก็ต้องมาพิจารณาด้วยว่ามาตรการเช่นนี้เป็นไปตามหลักกฎหมายหรือไม่ และกลายเป็นการผลักผู้ป่วยให้กลายเป็นอาชญากรหรือไม่ และการใช้วิธีแบบนี้ที่ผ่านมามีพยานหลักฐานเชิงประจักษ์หรือสถิติมายืนยันหรือไม่ว่าได้ผลจริงในการแก้ปัญหายาเสพติด” นพ.วาโย กล่าว

 

นพ.วาโย ยังกล่าวต่อไปว่า ตนเห็นว่านโยบายที่เน้นการแยกผู้เสพออกจากผู้ค้าเป็นแนวทางที่เหมาะสมอยู่แล้ว แต่เกณฑ์ที่ใช้หลักกฎหมายแบบสันนิษฐานไว้ก่อนมีปัญหาช่องโหว่มากเกินไป หากสามารถปรับวิธีพิจารณาให้กลับสู่การพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามหลักกฎหมายอาญาทั่วไปได้ ก็จะช่วยให้เกิดกระบวนการแยกผู้เสพออกจากอาชญากรตัวจริงได้จริงๆ ตามเจตนารมณ์ของการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การแก้ปัญหาในระยะยาวที่ต้นตอจะเป็นมาตรการที่จะช่วยยุติปัญหายาเสพติดที่ได้ผลดีที่สุด

 

“ทุกคนที่เป็นเหยื่อของสังคม ถูกล่อลวงให้เสพยาจนเกิดการเสพติดขึ้นมา เป็นผู้ป่วยในกลุ่มโรค Addiction disorder แบบหนึ่งที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ แต่เกณฑ์ที่มีหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ และที่สำคัญคือนโยบายแบบนี้ยังเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะยาเสพติดเป็นปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมเป็นหลัก ถูกบีบคั้นทางสังคม หรือมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว ความเหลื่อมล้ำทางสังคม สภาพแวดล้อมที่เป็นวงจรภายในชุมชน ชักนำให้เสพยา นำไปสู่การติดยาและค้ายา ซึ่งหากเราสามารถพัฒนาประเทศจนชุมชนได้รับการพัฒนา มีสวัสดิการที่ดูแลประชาชนดีพอ ปัญหายาเสพติดจะลดน้อยลงไปเองในที่สุด” นพ.วาโย กล่าวทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising