×

คนไทย 90 เปอร์เซ็นต์ เข้าไม่ถึงสิทธิที่ดินทำกิน พบเอื้อนายทุน-ต่างชาติหาประโยชน์การเช่าจำนวนมาก

โดย THE STANDARD TEAM
11.02.2021
  • LOADING...
คนไทย 90 เปอร์เซ็นต์ เข้าไม่ถึงสิทธิที่ดินทำกิน พบเอื้อนายทุน-ต่างชาติหาประโยชน์การเช่าจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ชุมชนน้ำแดงพัฒนา สมาชิกสหพันธ์เกษตรภาคใต้ (สกต.) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘ความสำเร็จ ความเจ็บปวด 13 ปี บนเส้นทางการต่อสู้ของ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้- สกต. เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน’ โดยมีสมาชิกของ สกต. เข้าร่วมเป็นวิทยากรในการเสวนา ดำเนินรายการโดย ปรานม สมวงศ์ จาก Protection International ที่ทำงานกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

 

เผยคนไทย 90 เปอร์เซ็นต์ เข้าไม่ถึงสิทธิที่ดินทำกิน

 

ธีรเนตร ไชยสุวรรณ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และกรรมการบริหารของ สกต. และ กรรมการแก้ไขปัญหากรณีพีมูฟของสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินในประเทศไทยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนร่างขึ้นนั้น ทำให้เราได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ทำให้เราได้ตรวจสอบพื้นที่ต่างๆ และต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ก็ได้มีการตรวจสอบอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งพี่น้องเกษตรกรที่ไม่มีพื้นที่ทำกินก็ได้มาตรวจสอบพื้นที่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพราะมีพื้นที่สวนปาล์มที่หมดสัญญาแล้วนายทุนยังใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง บางแปลงก็ใช้แบบผิดกฎหมาย จึงกลับมาคิดว่ามันมีพื้นที่เหล่านี้ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังนั้นในพื้นที่อื่นๆ ก็น่าจะมีด้วย

 

ธีรเนตรกล่าวเพิ่มเติมว่า พอได้ศึกษาเรื่องนี้ก็ได้เห็นข้อมูลว่า ลักษณะการเข้าไม่ถึงที่ดินของเกษตรกรไทยมันกลับมีมากกว่าที่เราคิด เราเห็นข้อมูลการเข้าไม่ถึงที่ดินในส่วนของภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ที่เป็นการเช่าพื้นที่นาที่มีมาก และทำให้เราเห็นตัวเลขว่าคนที่เข้าไม่ถึงที่ดินจริงๆ มีมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของคนในประเทศนี้เลย และส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ก็เป็นคนส่วนน้อยของประเทศ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เราเรียกว่ากระดูกสันหลังของชาติที่เป็นเกษตรกรกลับไม่มีที่ดินในมืออยู่เลย เราเลยคิดว่ามันน่าจะมีกระบวนการที่ทำให้คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงที่ดินได้

 

“พอได้เข้ามาผลักดันทางนโยบาย ก็ได้เห็นความห่างในการใช้พื้นที่ในการเข้าถึงพื้นที่ ยิ่งตอกย้ำและเห็นได้ชัดเจน เมื่อปี พ.ศ. 2557 ที่ได้มีการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่รัฐบาลยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รวบรวมที่ดินประมาณ 3 ล้านไร่ เพื่อที่จะให้นายทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี และเป็นมรดกให้ลูกหลานต่ออายุได้อีก มันยิ่งทำให้เราเห็นความเหลื่อมล้ำความห่างที่ว่าคนจนจะได้เข้าถึงที่ดินยากมาก แต่พื้นที่ที่กระทรวงเกษตรจะจัดสรรให้กับเกษตรกรแค่ 3 หมื่นไร่ และในปัจจุบันยังจัดสรรให้กับเกษตรไม่ถึง 3 หมื่นไร่เลยด้วยซ้ำ ในส่วนนี้ตอกย้ำการเข้าไม่ถึงที่ดินของเกษตรกรเข้าไปอีก เราก็เลยต้องร่วมกันผลักดันทางนโยบายและร่วมกันแก้ปัญหา หรือแก้กฎหมายต่างๆ ในหลายๆ ข้อ ซึ่งในส่วนนี้เราก็พยายามผลักดันกันอยู่” ธีรเนตรกล่าว

 

 

ชูโมเดลพืชอาหารชุมชนสู้โควิด-19

 

สรารัตน์ เรืองศรี ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และกรรมการฝ่ายสตรี ของ สกต. กล่าวถึงโมเดลการต่อสู้ของ สกต. สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารอยู่รอดอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19 ว่า การจัดการที่ดินแบบสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ หรือการจัดการที่ดินแบบสิทธิร่วมในรูปแบบโฉนดชุมชน และจดทำเบียนเป็นสหกรณ์ของเรามี 5 ชุมชน และมีการแบ่งประเภทการทำประโยชน์ออกเป็น 6 ประเภทคือ ที่อยู่อาศัย, พื้นที่ทำการเกษตร, พื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ, พื้นที่ปลูกพืชอาหารของชุมชน, พื้นที่ปศุสัตว์ และมีพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่คนในชุมชนสามารถใช้ได้ร่วมกัน ชุมชนเรามีรูปแบบการจัดการโดยมีคณะกรรมการบริหารตามสภาพของชุมชนนั้นๆ เราได้กำหนดรูปแบบทางการผลิตเอง มุ่งหวังให้ชุมชนมีพื้นที่การเกษตรอย่างยั่งยืน เน้นความมั่นคงทางด้านอาหาร และมีการตั้งกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกพืชสมุนไพร และเลี้ยงสัตว์ ที่ดินทำหน้าที่เป็นปัจจัยการผลิตของเกษตรกร ให้มีอาหารปลอดภัยและพอเพียงในการดำรงชีวิต ลดการพึ่งพาอาหารจากภายนอก และชุมชนได้แปรรูปผลิตผลที่เหลือจากการบริโภคขายเพื่อเพิ่มรายได้ และมีการสำรองอาหารเพื่อใช้หมุนเวียนในการดำรงชีพต่อไป และเรามีการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และมีการถนอมอาหารแปรรูปอาหาร ซึ่งการเข้าถึงที่ดินและการมีความมั่นคงทางด้านอาหาร ทำให้พวกเรา สกต. อยู่ได้ โดยมีบ้านเป็นของตนเอง เราไม่ต้องเช่าบ้าน ทำให้เราสามารถอยู่ได้ในสถานการณ์โควิด-19 เรามีที่ดิน เราสามารถปลูกพืชกินเองโดยที่เราไม่ต้องออกไปเสี่ยงกับโรคภัยข้างนอก

 

สรารัตน์ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องรูปแบบการจัดสรรที่ดินของ สกต. ด้วยว่า การจัดการที่ดินของ สกต. เป็นรูปแบบโฉนดชุมชนร่วม คือ ชุมชนสามารถมีสิทธิร่วมในการบริหารจัดการ และสิทธิในการทำกินจะตกทอดไปที่ลูกหลาน แต่ไม่สามารถขายที่ดินเหล่านี้ได้ แตกต่างจากการจัดสรรที่ดินแบบปัจเจกชน และรูปแบบการจัดสรรที่ดินของเราแตกต่างจากของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ที่มีนโยบายการจัดที่ดิน 5 บวก 1 คือ ที่ทำกิน 5 ไร่ ที่อยู่อาศัย 1 ไร่ แต่ของ สกต. เป็นการจัดสรรที่ดิน 10 บวก 1 คือ ที่ทำกิน 10ไร่ และที่อยู่อาศัย 1 ไร่ ซึ่งเราได้พยายามเสนอกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพยายามไปอธิบายกับหน่วยงานต่างๆ ให้ได้เข้าใจว่าที่ดิน 5 บวก 1 มันไม่พอ เพราะถ้าจะมีข้อเปรียบเทียบในแนวคิดขณะนั้นตามที่พวกเราผลักดันอยู่คือเศรษฐกิจพอเพียง ตรงนี้ถ้าพูดตามหลักสากลในประเทศไทยขณะนั้น แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ฐานของแต่ละคนคือต้องมีที่ 15 ไร่ ที่มากกว่า 5 บวก 1 หรือ 10 บวก 1 ที่เราทำเสียอีก

 

“พื้นที่ที่เราคิดว่าไม่น่าจะมากคือ 10 บวก 1 เราก็น่าจะอยู่กันได้ แต่พอมีการประกาศนโยบายของ คทช. และมีการบังคับใช้นโยบาย 5 บวก 1 ก็มีผลกระทบกับเรา เพราะเราพยายามจัดสรรการใช้พื้นที่ให้กับพี่น้องได้ใช้ประโยชน์ในลักษณะ 10 บวก 1 ซึ่งพี่น้องก็ปลูกพืชผักกันตามลักษณะภูมิประเทศ โดยการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ประเภท และพื้นที่ไหนที่เหมาะสมกับการก่อตั้งเป็นชุมชนที่อยู่อาศัย เราก็ก่อตั้งเป็นที่อยู่อาศัย และที่สาธารณประโยชน์ ถนน ศาลาประชุมต่างๆ ก็ว่ากันไป และต่อมาคือพื้นที่ปลูกพืชอาหาร เราก็จะกันไว้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือพื้นที่ที่ใกล้กับแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ต่อมาก็เป็นพื้นที่เศรษฐกิจของแต่ละคน 10 ไร่ ซึ่งในแต่ละพื้นที่เราก็มีแนวเขตของแต่ละคนอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตว่าลูกหลานจะมาแล้วไม่รู้ว่าพื้นที่ของตนเองอยู่จากแนวไหน เรามีการปักแนวเขตที่ชัดเจน เพื่อให้แต่ละคนได้รับทราบพิกัดของตัวเองอย่างชัดเจน เพื่อทำให้ไม่เป็นปัญหาในอนาคตในการจัดแบ่งพื้นที่ของเรา ดังนั้น นโยบาย 5 บวก 1 ของ คทช. มันทำให้เรามีพื้นที่ไม่พอกิน สุดท้ายพอมีผลกระทบทางด้านโควิด-19 ลูกหลานที่ตกงานก็ต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็ต้องใช้พื้นที่เหล่านี้อีกเหมือนกัน” สรารัตน์ระบุ

 

 

จี้กองทุนยุติธรรม ช่วยเหลือนักต่อสู้อย่างจริงใจ

 

นิยม สารคะณา ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และสมาชิกของ สกต. และเป็นอนุกรรมการของกระทรวงยุติธรรม บอกเล่าการถูกคุกคามและความเจ็บปวดบนเส้นทางการต่อสู้ของ สกต. โดยกล่าวว่า ตลอด 13 ปีที่ต่อสู้มา สกต.ไม่เคยมองเห็นดอกกุหลาบ มีขวากหนามที่พบเจอมา ถูกข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่ รวมทั้งมีการถูกลอบสังหารจนสังเวยนักต่อสู้ไป 4 ศพ ไม่เท่านั้น ยังถูกดำเนินคดีถูกกล่าวหาทำให้เสียทรัพย์ กรณีทำลายต้นปาล์มของนายทุน รวมทั้งข้อหาซ่องโจร ศาลก็ยกฟ้องไป ล่าสุดมีการดำเนินคดีกับชาวบ้านไทรทอง จะถูกตัดสินในชั้นฎีกาวันที่ 3 มีนาคมนี้ กรณีข้อหาบุกรุกป่า อยากให้รัฐเล็งเห็นปัญหาสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่พึงมีพึงได้เพื่อความเหลื่อมล้ำ

 

“อย่างเรื่องกองทุนยุติธรรมที่มีการเข้าถึงนั้นเกิดจากการผลักดันของภาคประชาชน ที่เมื่อถูกดำเนินคดีแต่ไม่มีเงินประกันตัว โดยกำหนดวงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท ตรงนี้ก็เกิดปัญหา เพราะชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ยากจนไม่มีเงินที่จะไปประกันตัว กรณีนี้ทางเรายื่นเรื่องไปที่ยุติธรรมจังหวัด 3 ครั้ง แต่ก็ไม่มีการอนุมัติ โดยให้เหตุผลว่าเราเป็นผู้กระทำผิด เพราะว่าการที่จะอนุมัติเงินกองทุนได้ จะต้องผ่านพนักงานไต่สวนคดีถึงจะอนุมัติ ทั้งที่ในหลักความเป็นจริง ผู้ที่ถูกดำเนินคดีหรือผู้ที่ถูกกล่าวหาจะต้องทำการพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์หรือไม่ ต้องรอให้ศาลตัดสินก่อน แต่กองทุนยุติธรรมบอกว่าถือว่าเป็นคนกระทำความผิดจาการมายึดที่ดินของหลวง ปัญหากองทุนยุติธรรมในหลายกรณี คณะกรรมการพิจารณากองทุนทำตัวเป็นศาลเสียเอง เพราะบอกว่าคนที่มาขอเงินกองทุนกระทำความผิดเสียเอง ทั้งที่การช่วยเหลือควรเป็นการสนับสนุนผู้ถูกกล่าวหาในการใช้สิทธิอย่างเป็นธรรม” นิยมกล่าว

 

 

จี้ธนาคารที่ดินเร่งซื้อที่ดิน หวั่นนายทุนยิ้ม-ชาวบ้านติดคุก

 

อัศนีย์ รอดผล ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน สมาชิกของ สกต. อีกหนึ่งคน และเป็นอนุกรรมการกระทรวงมหาดไทย บอกเล่าความสำเร็จและก้าวต่อไปของการผลักดันเรื่องธนาคารที่ดิน กล่าวว่า อีกหนึ่งนโยบายภาครัฐที่เหมือนจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินคือ การที่มีสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินทำกิน สถาบันนี้ภาคประชาชนผลักดันให้มีขึ้นตั้งแต่ปี 2554 เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ยากไร้คนยากจนเข้าถึงการใช้ที่ดินที่เป็นในส่วนของ สปก. และที่ดินเอกชนที่ถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง เบื้องต้นอาจดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือ แต่เมื่อมองให้ลึกแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อศาลตัดสินให้ผู้ยากไร้เข้าถึงการใช้ที่ดินชนะคดี แต่ต้องใช้เงินซื้อ หากไม่มีเงินในการซื้อ ที่ดินในส่วนนี้ก็จะตกอยู่ในมือของนายทุนเช่นเดิมอีก ฉะนั้น การที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินขึ้นมา ในส่วนของการเรียกร้องของ สกต. จนได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์ ก็มีที่ชุมชนน้ำแดงฯ ขณะนี้ได้ทำสัญญาซื้อไปจำนวน 69 ไร่ เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่ตรงนี้คือก้าวแรก

 

แต่ก้าวต่อไป ก็ยังต้องเรียกร้องให้สถาบันการบริการจัดการธนาคารที่ดินได้ซื้อที่ดินผืนที่อยู่ในการครอบครองของบริษัทนายทุน เพราะมีทั้งหมดกว่า 100 ไร่ ที่ชุมชนเราอยู่ อยากให้มีการดำเนินการเร่งด่วนด้วย เพราะว่าบ้านน้ำแดงของเราอยู่ด้วยกันเป็นชุมชน

 

“การเรียกร้องในส่วนนี้ เราเรียกร้องโดยใช้ระยะเวลาร่วม 10 ปี กว่าที่จะได้เซ็นสัญญากับสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน จริงๆ การเรียกร้อง ถ้ามีการตอบสนองที่รวดเร็วกว่านี้ คิดว่าสมาชิกในชุมชนน้ำแดงฯ เองก็ไม่ต้องติดคุกนับ 10 คน ตรงนี้ นโยบายเหมือนจะดี แต่ที่สุดแล้วการปฏิบัติก็เกิดเป็นความล่าช้า เห็นว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อจากสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน เป็นสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ชื่อเหมือนจะดี ก็หวังว่าถ้าจะเปลี่ยนชื่อแล้วก็ควรรีบเปลี่ยน จะได้ทำเรื่องต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริง ให้ตรงเป้าประสงค์ตามชื่อที่เปลี่ยนใหม่” อัศนีย์กล่าว

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising