บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ดำเนินกลยุทธ์เพื่อเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดทั่วโลกในแฟรนไชส์แบรนด์ Sizzler นอกเหนือจากในสหรัฐอเมริกา เปอร์โตรีโก และกัวเตมาลา โดยการซื้อนี้จะเข้ามาเสริมแผนการขยายธุรกิจทั่วโลกของ MINT ซึ่งตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม
ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ก่อนการซื้อกิจการครั้งนี้ MINT เป็นผู้รับแฟรนไชส์ของ Sizzler เป็นระยะเวลา 31 ปี ซึ่งสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ Collins Foods Limited ที่เป็นเจ้าของคนก่อน และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Sizzler ประสบความสำเร็จในฐานะร้านอาหารสไตล์ตะวันตกในเอเชีย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- คนไทยนิยมทานสเต๊กพรีเมียมมากขึ้น รีเสิร์ชของ ‘Sizzler’ จุดชนวนให้พลิกโฉมแบรนด์ในรอบ 30 ปี เน้นเสิร์ฟเมนูสเต๊กพรีเมียมราคาเข้าถึงง่าย ชิงยอดขาย
- Sizzler ย้ำ ปรับราคา ‘สลัดบาร์’ ของสาขาในกรุงเทพฯ ไม่กระทบกำลังซื้อ ส่วนปลายปีออกเมนูใหม่นำ ‘เนื้อไพรม์ริบ’ มาเสริมความพรีเมียมมากขึ้น
- บุฟเฟต์ สลัดบาร์ 139 บาท วันธรรมดาคงไม่เห็นอีกแล้ว เมื่อ ‘Sizzler’ ปรับขึ้นราคาเต็ม 199 บาทรับต้นทุนพุ่ง แต่เพิ่มเมนูและออปชันใหม่เพียบ!
“ด้วยการเข้าซื้อกิจการ MINT จะเปลี่ยนจากแฟรนไชส์ที่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ไปเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าทั่วโลก โดยในทันทีเราจะมีรายได้ค่าลิขสิทธิ์ต่อปีของ Sizzler ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 3.5-4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์” ดิลิปกล่าว
ปัจจุบัน MINT ดูแลการดำเนินงานของร้าน Sizzler 64 แห่งทั่วประเทศไทย หลังจากการซื้อกิจการครั้งนี้จะรวมร้าน Sizzler ที่เป็นแฟรนไชส์เพิ่มเติมอีก 10 แห่งในญี่ปุ่นไว้ในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งจะช่วยให้ MINT สามารถขยายขอบเขตของแบรนด์ Sizzler ไปทั่วโลกได้ โดยตั้งเป้าหมายว่า จะมีมากถึง 200-300 สาขาภายใน 5 ปีต่อจากนี้
การขยายตัวของแบรนด์จะนำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ๆ สำหรับการเพิ่มรายได้และกำไร ทำให้การเข้าซื้อกิจการเป็นก้าวกระโดดเชิงกลยุทธ์ แม้จะไม่สามารถขยายในสหรัฐอเมริกา เปอร์โตรีโก และกัวเตมาลา แต่ MINTตั้งใจที่จะให้ความสำคัญกับตลาดและภูมิภาคที่มีฐานธุรกิจร้านอาหารที่แข็งแกร่งอยู่เดิมก่อน ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่ใช่ตลาดหลักอยู่แล้ว จึงไม่มีผลกระทบต่อแผนงาน
“หลังจากนี้เราจะสำรวจตลาดใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ภูมิภาค CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) และตะวันออกกลาง ตลาดเหล่านี้มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก เนื่องจาก MINT ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ได้รับสิทธิที่มีอยู่ โดยการขยายกิจการสามารถทำได้โดยการร่วมทุนหรือแฟรนไชส์”
การซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ ‘กลับสู่การเติบโต’ ระยะเวลา 3 ปีอันทะเยอทะยานของ MINT ในขณะที่โลกหลุดพ้นจากเงาของการแพร่ระบาดของโควิด ทาง MINT กระตือรือร้นที่จะประกาศอย่างชัดเจนต่อตลาดโลกเกี่ยวกับการเติบโตและความตั้งใจในการขยายธุรกิจในอนาคต การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้สอดคล้องกับการพิจารณาถอนการลงทุนของ Collins Foods เพื่อปรับโฟกัสไปที่ธุรกิจหลักหลังเกิดโรคระบาด
จากมุมมองทางเศรษฐกิจ การซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ด้วยการใช้เงิน 546 ล้านบาทเข้าซื้อ คาดว่าจะให้ผลตอบแทนในช่วงเปอร์เซ็นต์ตัวเลขสองหลัก
ผลประกอบการทางการเงินของ Sizzler สนับสนุนแนวโน้มเชิงบวกนี้ โดยยอดขายล่าสุดในประเทศไทยทำได้ดีกว่าปีที่แล้วและเกือบถึงระดับก่อนเกิดโรคระบาด ส่วน Sizzler ญี่ปุ่นยังแสดงผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยทำยอดขายได้เหนือกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้
หลังการซื้อกิจการ MINT ไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานหรือการสร้างแบรนด์ของ Sizzler อย่างฉับพลัน โดยยังคงให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูแบรนด์และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว
การซื้อกิจการจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินผ่านกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ MINT ซึ่งปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิของ MINT อยู่ที่ 0.94 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์หนี้สินและเกณฑ์ภายในอย่างมาก
MINT คาดว่าการซื้อกิจการจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ พร้อมกับย้ำว่าความสำเร็จของ Sizzler ยังอยู่ที่ความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วกับกระแสตลาดที่เปลี่ยนแปลงและการปรับแต่งเมนูให้ถูกปากคนไทย
