เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) รายงานกำไรสุทธิ 4Q66 จำนวน 984 ล้านบาท (ลดลง 48%YoY และ 54%QoQ) ต่ำกว่าคาด 58% เพราะถูกฉุดรั้งโดยรายการพิเศษคือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงจากสัญญาอนุพันธ์ (บนสกุลเงินและอัตราดอกเบี้ย) เมื่อหักรายการดังกล่าวออกพบว่ากำไรปกติเป็นไปตามคาดที่ 2.5 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6%YoY และเพิ่มขึ้น 10%QoQ) หลักๆ ได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรม (RevPar สำหรับโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหาร เพิ่มขึ้น 19%YoY แต่ลดลง 4%QoQ) และอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้ที่ลดลง
สำหรับปี 2566 MINT รายงานกำไรสุทธิ 5.4 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 26%YoY) และหากหักรายการพิเศษออกพบว่ากำไรปกติเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสู่ 7.1 พันล้านบาท สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิดแล้ว
กระทบอย่างไร:
เมื่อวันนี้ (9 กุมภาพันธ์) ราคาหุ้น MINT ปรับลง 1.61% สู่ระดับ 30.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.02% สู่ระดับ 1,388.37 จุด
แนวโน้มผลประกอบการในปี 2567:
หลังจากปี 2566 เป็นปีแห่งการฟื้นตัว MINT จะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตที่ยั่งยืน โดยในระยะ 3 ปีข้างหน้า (จนถึงปี 2569) โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ในขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากกว่ารายได้ที่ 15-20% ต่อปี โดยได้แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น การเติบโตส่วนใหญ่จะเกิดจากธุรกิจโรงแรม ซึ่ง MINT วางแผนขยายโรงแรมเชิงรุกมากกว่า 200 แห่ง ด้วยจำนวนห้องมากกว่า 40,000 ห้อง (จากปัจจุบันที่มีโรงแรม 532 แห่ง และห้องพัก ~78,000 ห้อง เพิ่ม 51%) ซึ่งหลักๆ จะเป็นโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหาร โดย 81 แห่งได้มีการทำสัญญาแล้ว (~13,000 ห้อง) 40 แห่งอยู่ระหว่างการเจรจา และ MINT คาดว่าจะมีโอกาสในการทำสัญญาอีกมากกว่า 100 แห่ง
MINT วางแผนใช้งบลงทุน 1.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 โดยส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการจัดวางตำแหน่งใหม่และอัปเกรดโรงแรมเพื่อให้สามารถปรับ ARR ให้สูงขึ้นและเพิ่มมาร์จิ้น สำหรับธุรกิจร้านอาหาร MINT วางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 1,000 สาขา (จากปัจจุบัน 2,645 สาขา เพิ่ม 38%) ด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีขึ้น อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิจึงปรับตัวลดลงสู่ 1.02 เท่า ณ สิ้นปี 2566 และ MINT ตั้งเป้าลดอัตราส่วนดังกล่าวลงสู่ 0.8 เท่า ภายใน 12 เดือน
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปกติของ MINT เพิ่มขึ้น 5% ในปี 2567 และ 2% ในปี 2568 หลังจากบริษัทประกาศผลประกอบการปี 2566 โดยคาดว่ากำไรปกติของ MINT จะเติบโต 12% สู่ 8.0 พันล้านบาท ในปี 2567 โดยใช้สมมติฐานรายได้เติบโต 7% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขเป้าหมายด้านต่ำของบริษัทอ้างอิงกับจำนวนโรงแรมใหม่ที่ได้มีการทำสัญญาแล้วและร้านอาหารใหม่ 100 สาขา ส่วน 1Q67 คาดว่ากำไรปกติจะเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ที่สุดของการท่องเที่ยวในยุโรป MINT พบว่ารายได้ห้องพักเติบโตแข็งแกร่ง YoY ในเดือนมกราคม และยอดจองห้องพักสูงในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
อย่างไรก็ดี กำไรปกติของ MINT กำลังจะผ่านจุดต่ำสุดของปี 2567 ใน 1Q67 ซึ่งมองว่าจะเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้น โดยยังคงคำแนะนำ Tactical Call ระยะ 3 เดือน สำหรับ MINT ไว้ที่ OUTPERFORM โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 44 บาทต่อหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางและต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหาร ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และขยะ ที่มีประสิทธิภาพ (E)
