×
SCB Omnibus Fund 2024

ผู้ก่อตั้งไมเนอร์เสนอนายกฯ ให้บุคลากรในอุตฯ ‘ท่องเที่ยว-การบิน’ เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่รับ ‘วัคซีนโควิด-19’ ร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์

29.01.2021
  • LOADING...
ผู้ก่อตั้งไมเนอร์เสนอนายกฯ ให้บุคลากรในอุตฯ ‘ท่องเที่ยว-การบิน’ เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่รับ ‘วัคซีนโควิด-19’ ร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์

วิลเลียม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 28 มกราคม 2564 เนื่องจากข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการจัดการวัคซีนโควิด-19 ต่อภาคการท่องเที่ยว 

 

ผู้ก่อตั้งไมเนอร์ระบุว่า มาตรการที่ภาครัฐบังคับใช้อยู่นั้นสามารถบอกสถานการณ์โดยรวมได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม การระบาดระลอกใหม่ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาคบริการได้รับผลกระทบที่รุนแรงอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้กิจการโรงแรมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวจำนวนมากต้องปิดตัวชั่วคราวและบางแห่งถึงขั้นปิดตัวถาวร

 

“ด้วยเหตุนี้เอง การมาถึงของวัคซีนโควิด-19 นั้น จึงเปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังเดียวที่ส่งมายังปลายอุโมงค์อันมืดมิดและยาวไกลนี้”

 

วิลเลียมกล่าวว่า ตระหนักดีถึงความพยายามอย่างเร่งด่วนของรัฐบาลไทยในการผลักดันกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนโดยเร็วที่สุด แต่อย่างไรก็ตามมั่นใจว่ายังมีแนวปฏิบัติอีกหลายประการที่เราสามารถทำได้เพื่อเร่งผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงใคร่ขอแสดงคิดเห็นที่เกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติของวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติมดังนี้

 

นับรวมพนักงานในภาคบริการธุรกิจท่องเที่ยวให้อยู่ในกลุ่มแรกที่จะได้รับวัคซีนโควิด-19 ก่อน เราเชื่อว่าพนักงานในภาคบริการธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งรวมไปถึงผู้ให้บริการในธุรกิรสายการบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน นักบิน และพนักงานโรงแรมควรจัดอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับวัคซีนในระยะที่ 1 ด้วยพนักงานเหล่านี้หลายคนทำงานในสถานกักกัน จึงถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงจากโควิด-19 เช่นกัน จึงควรรับไปพร้อมๆ กับบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอื่นๆ จึงถือเป็นการป้องกันประเทศที่จำเป็น ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ฉีดไปแล้ว 2 ล้านโดส หรือ 20% ของประชากรทั้งหมด โดยบุคลากรภาคท่องเที่ยวก็ได้รับการฉีดเช่นกัน

 

พิจารณาจัดหาตัวเลือกวัคซีนเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน เราตระหนักดีกว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการจัดหาและพัฒนาวัคซีนอย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อพิจารณาถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการฉีดวัคซีนโดยเร็ว แต่แผนในปัจจุบันยังไม่เร่งด่วนมากพอและปริมาณวัคซีนที่วางแผนจะฉีดยังคงไม่เพียงพอต่อประชากรทั้งประเทศ นอกเหนือจากข้อตกลงกับ AstraZeneca และ Sinovac ไปแล้วนั้น รัฐบาลควรพิจารณาและศึกษาข้อมูลของผู้วัคซีนรายอื่นๆ ไปด้วย 

 

รวมไปถึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมกับโรงแรมที่เป็นสถานที่กักตัวทางเลือก สามารถฉีดวัคซีนให้กับแขกที่มาพักในโรงแรมระห่างกักตัวได้ 

 

อนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักกันตัว สำหรับผู้ที่พำพักอยู่ในประเทศ เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ควรอนุญาตให้สามารถเดินทางภายในประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการกักกันโรค แต่ยังควรสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคมต่อไปจนกว่าจะควบคุมโรคได้ นอกจากนี้นักธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องเดินทางระหว่างประเทศ เมื่อได้รับวัคซีนแล้ว ควรได้รับการยกเว้น 14 วัน เมื่อเดินทางมาประเทศไทย 

 

เตรียมการเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาพร้อมกับ ‘หนังสือเดินทางวัคซีน’ เราทราบว่าหนังสือเดินทางวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นของการศึกษาและพิจารณาในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม หลายประเทศเริ่มวางแผนที่จะใช้ใบรับรองหรือเอกสารที่บันทึกการฉีดวัคซีนมาเป็นเครื่องยืนยันในการอำนวยความสะดวกการด้านการเดินทาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องวางรากฐานและเตรียมการไว้ล่วงหน้าสำหรับความเป็นไปได้ในทิศทางดังกล่าว

 

“เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลจำเป็นจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของภาคบริหารและธุรกิจท่องเที่ยวที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการบริหารจัดการนโยบายที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ประเทศไทยสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย”

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising