ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มาสักพักแล้วครับ ผมเชื่อว่าตอนเลขนำหน้าของอายุเราเปลี่ยน ตั้งแต่ 1 / 2 / 3 / 4 / 6 / 7 / 8 มันเหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆ ว่าถึงเวลาที่เราต้องตกผลึกอะไรบางอย่างในชีวิตให้ได้
เหมือนกับว่าทุกๆ 10 ปี เราต้องเอาประสบการณ์ที่ตัวเองสั่งสมมาเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ในชีวิต เพื่อที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างมีความสุขที่สุด
แต่การเปลี่ยนเข้าสู่วัย 40 มีความพิเศษเล็กน้อยตรงที่วัยนี้สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็น Midlife จริงๆ และมักมาคู่กับ Midlife Crisis คือความตกใจที่ชีวิตผ่านมาครึ่งทางแล้ว
โดยธรรมชาติเราจะเริ่มเช็กแล้วว่าชีวิตของเรามันต่างกับชีวิตที่อยากให้เป็นแค่ไหน ถ้ามันห่างมาก บางทีอาจจะซึมเศร้าเอาได้ง่ายๆ
นี่ยังไม่รวมถึงความจริงที่ว่าหลายคนหลังจากเรียนจบตอน 20 ต้นๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา จนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอายุ 40 แล้ว
หลายเรื่องทำให้ตกใจเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราได้คิดว่าต่อจากนี้จะไปอย่างไรต่อ
นี่คือเรื่องราวต่างๆ ที่ผมได้เรียนรู้มาและตกผลึกได้ตอนนี้
เราในวันนี้คือผลรวมของทางเลือกทั้งเล็กทั้งใหญ่ของเราในอดีต
ถ้าเราไม่ชอบตัวเองตรงไหนก็เปลี่ยนตรงนั้นซะ ความจริงข้อหนึ่งก็คือทางเลือกที่ดีๆ ทั้งหลายในชีวิตในตอนเริ่มต้นมันมักจะไม่น่าทำ ไม่สนุก และที่สำคัญคือกว่าความสุขจะมาต้องอดทนรอ นี่เป็นสาเหตุที่คนเยอะมากเลือกความสุขแบบ Pleasure คือสุขแบบฉาบฉวย เพราะมันสุขทันที แต่ความสุขที่มีความหมายหรือ Enjoyment นั้นต้องอดทนมันถึงจะได้มา
การทำทุกวันให้มีความหมายนั้นสำคัญจริงๆ
คำว่ามีความหมายคือมีความหมายกับตัวเองและคนอื่น เราเป็นรอยยิ้มให้คนรอบข้างบ้างไหม เป็นที่พึ่งให้คนรอบข้างบ้างไหม ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นความหมายให้กับตัวเองด้วย เราต้องบอกตัวเองก่อนหลับตานอนให้ได้ว่า “วันนี้ทำดีที่สุดแล้ว เรื่องของพรุ่งนี้เดี๋ยวตื่นมาลุยกันต่อ”
สุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ
จะเรียกว่าสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าเราอยากทำอะไรในอนาคต สุขภาพจะส่งผลต่อโอกาสที่จะสำเร็จเยอะมาก สุขภาพเราในวันนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากทางเลือกในอดีตเช่นกัน ส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก กิน นอน ออกกำลังกาย ต้องทำให้ดีทุกวัน
ในวัยนี้การใช้ร่างกายหนักๆ ควรเลิกให้หมด
ไม่ว่าจะเป็นการอดนอน ดื่มเยอะ กินอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วคุณจะพบว่าการตื่นเช้า นอนเร็ว ออกกำลังกายทุกวัน กินอาหารดีๆ แม้จะดูฝืดๆ ในตอนแรก แต่ทำไปสักพักจะมีความสุขมากกว่า
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของคุณยังอยู่ ถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก
ท่านอยากได้อะไรพยายามหาให้ ท่านบ่นอะไรให้รับฟัง อย่าไปเถียง พยายามหาทางออกทุกเรื่องอย่างละมุนละม่อมและใจเย็นที่สุด อะไรยอมได้ก็ขอให้ยอม เรื่องอีโก้นั้นเก็บเข้าลิ้นชักไปเลย
เช่นเดียวกันกับลูก
ตอนเด็กนั้นลูกๆ พึ่งพาเรามาก เราต้องมีเวลาให้เขาทั้งเชิงคุณภาพ (Quality) และปริมาณ (Quantity) เด็กวัยนี้แป๊บเดียวก็โตเป็นวัยรุ่นแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะมีโลกของเขา แต่ถ้าคุณสนิทกับลูกตั้งแต่เด็ก เวลามีปัญหาอะไร เขาจะกล้ามาปรึกษาเรา ความสนิทก็มาจากปริมาณและคุณภาพของเวลาที่เราใช้กับเขานี่ล่ะ
ให้ทุกวันมีเป้าหมาย
ตั้งเป้าและพยายามทำให้สำเร็จทุกวันให้ได้ เพราะเราต้องให้กำลังใจตัวเองเสมอ กำลังใจที่มาง่ายและดีมากที่สุดคือกำลังใจที่เราได้จากชัยชนะเล็กๆ จากการทำเป้าหมายให้สำเร็จทุกวันนี่ล่ะ
อย่างของผมคือการวิ่งให้ได้เวลาที่ต้องการและการทำพอดแคสต์ เป้าหมายเล็กๆ ทุกวันเหล่านี้มันจะเชื่อมกับเป้าหมายใหญ่ของเรา และถ้าเราทำมันทุกวัน รู้สึกตัวอีกที เป้าหมายที่ใหญ่มากๆ ของเรามันก็จะสำเร็จ ถ้าคนรอบนอกมองเข้ามาโดยไม่รู้ว่าเรามีชัยชนะเล็กๆ ทุกวัน หลายคนอาจจะบอกว่าเราโชคดี แต่เรารู้ว่าเรามาได้เพราะสิ่งที่สะสมกันเล็กๆ ทุกวันต่างหาก
อย่าฉุดรั้งตัวเองด้วยความสำเร็จ
เมื่อเราไปถึงเป้าหมายไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม อย่าให้ความสำเร็จมาเป็นเครื่องฉุดไม่ให้เราเรียนรู้ต่อ เพราะเมื่อเราไม่เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ทุกวัน เราจะก้าวไม่ทันคนอื่นจริงๆ ใช่ครับ มันเหนื่อย แต่ถึงเหนื่อยก็ต้องทำ เพราะเรารู้ผลของการไม่ทำอยู่แล้ว
ในวัยนี้ สิ่งที่ควรจะจัดการได้ลงตัวแล้วคือเรื่องของเงิน
ลองสำรวจจริงๆ ว่าสิ่งที่เรามีอยู่และสิ่งที่เรากำลังอยากซื้อนั้นมัน Spark Joy เหมือนที่ มาริเอะ คนโดะ ว่าไว้ไหม ถ้าไม่ก็อย่าไปเสียเวลากับมัน
ปลูกวินัยให้เหมือนต้นไม้
คือดูแลมันอย่างดี หมั่นให้น้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย เราสามารถเก็บดอกผลจากต้นไม้ที่ชื่อ ‘วินัย’ ได้ แต่อย่าโค่นต้นไม้เพื่อเอาไม้ไปขายก็พอ เพราะต้นไม้นี้ปลูกยากมาก แต่สามารถโค่นได้ในพริบตาเดียว
เรียนรู้ที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต
การเป็นคนที่สามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learner) ได้นั้นไม่เพียงทำให้เราตามโลกทัน แต่มันยังทำเราให้รู้สึกมีพลังตลอดเวลาด้วย
ออกจากความเคยชิน
ถ้าเป็นไปได้ ลองทำงานหลายๆ อย่าง ทั้งงานหลัก งานเสริม ลองพาตัวเองออกจากความเคยชินเดิมๆ การทำอะไรหลายอย่างแบบนี้มีโอกาสพาเราไปเจอแพสชันที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีได้
แก้นิสัยแย่ๆ ของตัวเอง
นิสัยแย่ๆ ที่คิดว่า “ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้มาทั้งชีวิต” อย่านิ่งเฉย แก้ซะ
พูดว่า ‘ไม่’ อย่างมีสไตล์
คนเราจะบริหารชีวิตของตัวเองได้ ต้องพูดว่า “ไม่” ให้เป็น และต้องพูดอย่างมีสไตล์ด้วย
ให้รู้ค่าของสิ่งที่มีอยู่
ผมรู้ว่าคนพูดเรื่องนี้บ่อย แต่หลายครั้งธรรมชาติทำให้เราลืมไปและไม่ให้ค่ากับคนหรือของใกล้ตัว เรื่องนี้พูดง่าย แต่หลายครั้งก็ทำยากหรือทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นต้องเตือนสติตัวเองดีๆ ว่า Never take anything for granted.
สำหรับชีวิตที่จะเดินต่อไป ผมรู้สึกมั่นใจและมีความสุข เพราะรู้จักตัวเองแล้วว่าอะไรทำให้เราสุขใจ อะไรทำให้เราทุกข์ใจ อะไรเป็นสิ่งกระตุ้นเรา อะไรเป็นสิ่งที่ฉุดเรา
สิ่งสุดท้ายที่ผมเรียนรู้และคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วยก็คือคนเรามีสิทธิ์ที่จะฝันเสมอ ไม่ว่าเราจะเป็นใครและอายุเท่าไร ดังนั้นอย่าดูถูกความฝันของคนอื่น และอย่าดูถูกความฝันของตัวเองด้วย
เจสซี โอเวนส์ เคยกล่าวไว้ว่า
“We all have dreams. But in order to make dreams come into reality, it takes an awful lot of determination, dedication, self-discipline, and effort.”
ชีวิตจริงก็ตามนี้เป๊ะๆ เลย
ภาพประกอบ: Pichamon W.
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์