สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ‘ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ปี 2564’ ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยแสดงความมั่นใจว่าประชาชนทั่วไปจะเริ่มรู้สึกและสัมผัสได้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจังตั้งแต่ไตรมาส 2 หรือกลางปีหน้าเป็นต้นไป
สาเหตุจากช่วงวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการดูแลเศรษฐกิจ รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ทั้งเรื่องถนน ท่าเรือ ตลอดจนโครงการลงทุนต่างๆ ใน EEC ซึ่งทั้งหมดนี้จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปเพื่อที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ดังนั้นในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเตรียมความพร้อมเพื่อเชิญชวนผู้ลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุน ซึ่งจะเริ่มเห็นในปี 2565 เป็นต้นไป ทำให้ในปี 2564 ไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศอยู่ ขณะที่รัฐบาลเองยังมีความเข้มแข็งอยู่มาก สะท้อนผ่านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ระดับสูง และหนี้สาธารณะต่ำ มีศักยภาพในการกู้ยืมได้อีกมาก
นอกจากนี้มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลผลักดันออกมามีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการไทยมีงานทำ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการเติมเงินให้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง และโครงการช้อปดีมีคืน ซึ่งโครงการเหล่านี้จะเห็นว่าไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้ออกเงินอย่างเดียว แต่เป็นการดึงให้เอกชนเข้ามาร่วมฟื้นฟูประเทศด้วย
การร่วมมือดังกล่าวทำให้ดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ ทั้งดัชนีการบริโภคและดัชนีการลงทุนภาคเอกชนล้วนปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าตอนนี้คนทั่วไปอาจยังไม่รู้สึก แต่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ
สุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ถ้าดูรายงานล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชัดเจนว่า IMF ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้น และถือเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ IMF ปรับตัวเลขเพิ่มขึ้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนบอกว่าไทยจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตน้อยที่สุดในอาเซียน แต่วันนี้โดยส่วนตัวมั่นใจว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเชื่อว่าทั้งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตรงจุดและการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดีช่วยให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น จึงอยากให้รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสิ้นปีนี้
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
