×

มิวนิค BNK48 และ โจ้ BKKY จ้องตากับความกลัว เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงก่อนความตายมาเยือน

21.03.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • โจ้ มีเครื่องรางตะกรุดไลลา ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอมักจะขอพรแล้วได้อย่างที่หวังอยู่เสมอ แต่มีเพียงเรื่องความรักเรื่องเดียวที่ไม่ค่อยจะเห็นผลนัก ส่วนมิวนิค นับถือเจ้าแม่กวนอิม ในเวลาที่เธอต้องสอบหรือต้องออกงานเธอมักขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามพวกเธอทั้งสองก็ยังคงเชื่อในเรื่องของการลงมือทำควบคู่กันไปด้วย
  • มิวนิคเป็นคนป่วยง่ายจนเคยมีเหตุการณ์ที่เธอป่วยหนักเพราะผลข้างเคียงของยา และในคืนนั้นทำให้เธอกลัวว่าตัวเองจะตายเป็นครั้งแรก เพราะเธอยังมีเรื่องที่อยากทำอยู่หลายอย่าง เช่น ได้สร้างบ้านที่ต่างจังหวัดให้กับพ่อแม่และได้ไปเที่ยวกับพวกท่าน เธอจึงกลัวที่จะไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ถ้าเธอตายไปเสียก่อน
  • โจ้และมิวนิคต่างผ่านการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ และคนรอบตัวต่างชื่นชมว่าพวกเธอประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับพวกเธอกลับยังไม่มั่นใจว่าตอนนี้พวกเธออยากจะทำอะไรจริงๆ กันแน่ เพราะจุดที่พวกเธอยืนอยู่ไม่ได้มั่นคงอย่างที่หลายคนเข้าใจ
  • โจ้ มีรอยสักที่เขียนว่า life is a (fix) journey เพราะเธอเชื่อว่าชีวิตคือการเดินทางที่ถูกกำหนดมาแล้ว ถึงแม้ว่าเราเลือกเส้นทางที่อยากจะเดินไป แต่เราก็เลือกได้เฉพาะสิ่งที่เรามีอยู่

แมลงสาบ, แมงมุม, งู, ตุ๊กแก, ที่สูง, ความมืด, ที่แคบ, คนใจร้าย, อกหัก, ผี ฯลฯ คือคำตอบอันดับต้นๆ ที่มักจะปรากฏออกมาเสมอเมื่อถูกถามว่า ‘อะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด’

 

แต่ไม่ใช่กับ โจ้-พลอยยุคล โรจนกตัญญู และ นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล หรือมิวนิค BNK48 (รุ่น 2) นักแสดงรุ่นใหม่ที่ THE STANDARD POP ชวนพวกเธอมาพูดถึง ‘ความกลัว’ ในจิตใจ ก่อนภาพยนตร์ ‘กระสือสยาม’ ผลงานที่หยิบยกความเชื่อและความกลัวมาเป็นหนึ่งวัตถุดิบจะเข้าฉายในวันที่ 4 เมษายนนี้

 

เพราะสำหรับพวกเธอ สิ่งที่ ‘มองเห็น’ ได้ชัด นั้นไม่ได้น่ากลัวเท่ากับสิ่งที่มองไม่เห็น และยังมาไม่ถึง ซึ่งเมื่อสำรวจลึกลงไปในใจจะพบว่า ‘ความตาย’ และ ‘ตัวตนที่ยังหาไม่เจอ’ คือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าภูติผีใดๆ บนโลกใบนี้

 

และเส้นทางในอนาคตต่อจากนี้ ก็คือช่วงเวลาที่พวกเธอจะทดลองทำทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด เพื่อเรียนรู้ถึงสิ่งที่ ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ ไปทีละอย่าง จนกว่าจะค้นพบว่าแท้จริงแล้วพวกเธอเกิดมาเพื่อทำสิ่งใดในที่สุด

 

 

ตามปกติทั้งสองคนมีพื้นฐานความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็นมากน้อยขนาดไหน

 

ตอบพร้อมกัน: เชื่อค่ะ!

 

มิวนิค: แต่ถ้าถึงขนาดสิ่งที่เขาเรียกกันว่าผี หนูกับพี่โจ้อาจจะไม่มีเซนส์ก็เลยไม่เคยเจอ ส่วนตัวมิวจะเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแง่ที่ยึดเหนี่ยวที่ทำให้สบายใจมากกว่า เช่น เวลาก่อนไปสอบ หรือไปทำอะไรที่สำคัญมากๆ ก็จะไหว้พระ สวดมนต์ขอพรกับเจ้าแม่กวนอิม คือไม่รู้ว่าช่วยหรือเปล่า แต่อย่างน้อยวันนั้นจะรู้สึกสบายใจ

 

โจ้: คล้ายกัน แต่ของโจ้จะดูจริงจังกว่าในเรื่องโชคลางก็คือตะกรุดไลลา (หัวเราะ) จริงๆ เคยได้ยินเรื่องสรรพคุณของตะกรุดมาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดจะใส่เพราะรู้สึกว่าน่ากลัว พออันนี้เขาออกแบบมาสวยงามร่วมสมัยเราเลยรู้สึกสนใจ แต่ราคาเขาก็สูงนะ ถามว่าเราจะยอมจ่ายเพราะค่าดีไซน์อย่างเดียวเหรอ ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเลยเป็นส่วนผสมของความสวยงามและความงมงายในสัดส่วนที่เท่าๆ กันอยู่ (หัวเราะ)

 

เรื่องไหนที่ทั้งสองคนมักจะขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด

 

โจ้: ขอให้ร่ำรวยเงินทองและความรัก พื้นฐานมาก (หัวเราะ) เหมือนเป็นคำพูดติดปากเลย

 

มิวนิค: ตอนเด็กๆ จะขอตามที่พ่อกับแม่บอก คือขอให้สุขภาพแข็งแรง เรียนหนังสือเก่งๆ พอโตขึ้นคำขอเริ่มเปลี่ยนไป เช่น วันนี้จะออกไปสอบ ไปทำงาน ขอให้หนูมีสติ ผลอะไรออกเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่อย่างน้อยขอให้เรามีสติมากพอที่จะทำสิ่งนั้นได้ก่อน

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่การขอพรของเราจะเป็นจริง เวลาผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นแบบที่หวัง เคยทำให้เรากลับมาตั้งคำถามกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ บ้างหรือเปล่า

 

มิวนิค: โดยส่วนตัวหนูมักจะคิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ถ้าเกิดว่าสิ่งที่หนูขอจะไม่ได้อย่างที่หวัง มันก็ไม่ใช่เรื่องของสิ่งศักดิสิทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วมันก็ไม่ใช่เพราะตัวเราร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราไม่ได้สิ่งนั้น สมมติว่าหนูขอพรให้สอบได้ แต่หนูกลับไม่อ่านหนังสือ ยังไงมันก็สอบไม่ได้ หรืออ่านหนังสือมาเต็มที่ แต่เรามีความกังวล ไม่สบายใจ ผลลัพธ์ก็คงออกมาไม่ดีเหมือนกัน

 

โจ้: ก่อนตอบคำถามนี้ ขึ้นคำเตือนไว้ว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ (หัวเราะ) ของโจ้ก้ำกึ่งนะ อย่างตะกรุดไลลาที่ตอนแรกซื้อมาแค่ 1 ดอกคือเทพจำแลงภมร แล้วมีแคสต์งานโฆษณาของพี่เต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) ก็ขอพรว่าถ้าได้งานนี้จะกลับไปเช่าเพิ่ม แล้วก็ได้จริงๆ หลังจากนั้นก็ไปเช่าเพิ่ม ถ้าเป็นเรื่องงานนี่มีเข้ามาเรื่อยๆ จริงนะ อันนี้เลยไม่ได้สงสัย หรือตั้งคำถามอะไรเลย

 

แต่กับเรื่องความรักนี่สิ ก็มีไปเช่าตะกรุดนะ ขอไปแล้วแต่ทำไมมันถึงไปๆ มาๆ ล่ะ (หัวเราะ) คือมีคนเข้ามาเยอะขึ้นจริงๆ แต่พอโอเคกับหนึ่งในนั้นปุ๊บ เราไม่สนใจคนอื่นเลยนะ แต่สุดท้ายกลายเป็นเขาไม่เลือกเราขึ้นมา เอ๊ย อันนี้เราก็งง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้คงคล้ายๆ ที่โจ้บอก มันต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวเรา ตัวเขา และปัจจัยอีกหลายๆ อย่างมาประกอบกัน

 

Drift Alive – KID ให้สุด! (TOYOTA x Ter Nawapol) โฆษณาของเต๋อ นวพล ที่โจ้ได้ไปเล่น

 

ถ้าโฟกัสเฉพาะสิ่งที่คนเรียกกันว่า ‘ผี’ จริงๆ โจ้และมิวนิคมีความเชื่อหรือความกลัวกับสิ่งนี้อย่างไรบ้าง  

 

โจ้: ไม่เคยเห็นนะ แต่กลัววิญญาณเร่ร่อน ที่เขาตายโหงหรือตายไม่ดี แล้วเราอาจจะบังเอิญไปอยู่ หรือไปทำอะไรทับเส้นเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาตามเรามาอะไรแบบนี้

 

มิวนิค: จริงๆ มิวอาจจะไม่ได้กลัวผี แต่เป็นคนกลัวความมืดมากกว่า ซึ่งผีมักจะมากับความมืด เลยกลายเป็นกลัวผีไปด้วยโดยปริยาย (หัวเราะ) เหมือนเป็นคนจินตนาการเก่ง นั่งอยู่คนเดียวก็ชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดแล้วก็กลัวเองว่าจะมีอะไรโผล่มาจากทางนั้นหรือเปล่า (หัวเราะ) จริงๆ ถ้าเห็นไปเลยเราอาจจะไม่กลัว หรือกลัวน้อยกว่านี้ก็ได้นะ แต่พอเรามองไม่เห็น เราก็เลยกลัว

 

 

คิดว่าอะไรคือสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่น่ากลัวมากที่สุด

 

โจ้: ความจนค่ะ (หัวเราะ) ยิ่งเป็นช่วง coming of age ที่เพิ่งเรียนจบ แต่ไม่รู้ว่าจะทำงานด้านไหนดี งานแสดงที่ทำอยู่ก็เหมือนเงินจะดี แต่ก็ไม่มั่นคง บางเดือนรวยมาก บางเดือนก็ไม่มีจะกินไปเลย (หัวเราะ) ยิ่งทุกวันนี้ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่แล้ว ยิ่งต้องวางแผนเรื่องเงินให้ดีขึ้น

 

บวกกับที่ถูกพ่อบอกมาตลอดว่าความจนมันน่ากลัว จริงๆ ที่บ้านก็มีเงินนะ แต่พ่อให้เงินใช้แค่สัปดาห์ละหนึ่งพัน เพราะเขาไปดูถึงที่มหาวิทยาลัยเลยว่า ข้าวจานละเท่าไร คำนวณค่าเดินทางเสร็จสรรพ สรุปว่าสัปดาห์ละหนึ่งพันพอ จบ (หัวเราะ) แล้วมีอยู่ทีหนึ่งไปกับเพื่อน กลับมาตีสอง พ่อนั่งรออยู่แล้วบอกว่า ไปเที่ยวมาเหรอ เงินเหลือใช่ไหม งั้นหักค่าขนมไปอีกนะ (หัวเราะ) โอ้โห กลายเป็นไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยเพราะเงินไม่พอ

 

ไม่แน่ใจว่าเพราะแบบนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าเราต้องหาเงินให้ได้ด้วยตัวเอง เรากลัวไม่มีเงิน เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ไปเที่ยว (หัวเราะ)

 

 

มิวนิค: หนูเป็นคนที่กลัวตายมากๆ เพราะว่าหนูเป็นคนป่วยง่าย เป็นคนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง บวกกับว่าปกติก็เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ยิ่งช่วงไหนโหมงานหนักๆ ก็จะป่วยง่ายกว่าเดิมอีก

 

เคยมีคืนหนึ่งที่ไม่สบาย แล้ววันรุ่งขึ้นต้องไปทำงาน ก็เลยไปฉีดยาเพื่อให้ทำงานไหว แต่กลายเป็นว่าได้รับผลข้างเคียง อยู่ดีๆ มือชา ร่างกายสั่น ชัก แล้วบังคับตัวเองให้หยุดไม่ได้ เหมือนโลกหมุนตลอดเวลา บอกให้พี่พยาบาลเรียกคุณแม่เข้ามาหา แล้วก็กอดคุณแม่แน่นเลย ภาพแฟลชแบ็กตอนเด็กๆ กลับมา ซึ่งเขาว่ากันว่าการเห็นภาพพวกนั้นมันคือสภาวะของคนที่อยู่ใกล้ความตายแล้วจริงๆ เลยทำให้กลัวความตายมาตลอด

 

โจ้: แล้ววันรุ่งขึ้นไปทำงานอยู่ไหม

 

มิวนิค: ไป (หัวเราะ) ออกจากโรงพยาบาลตอนตี 3 แล้วไปนอนพัก พอ 8 โมงตื่นไปทำงาน แต่ตอนนั้นเริ่มดีขึ้นแล้ว

 

ในฐานะคนที่ไปอยู่ใกล้ความตายขนาดนั้นมาแล้ว คิดว่าความรู้สึกแบบไหนที่ทำให้มิวนิคคิดว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

 

มิวนิค: รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังใช้ไม่คุ้มเลย (หัวเราะ) รู้สึกชีวิตนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่อยากทำ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยว่า หนังก็ยังไม่ได้ถ่าย BNK ก็เพิ่งเข้ามา ยังไปตอนนี้ไม่ได้ คือคิดไร้สาระมากตอนนั้น แล้วพออาการดีขึ้นก็บอกแม่ว่า หนูจะไม่ฉีดยาอีกแล้ว (หัวเราะ) หรือถ้าต้องกินยาอะไรก็จะถามหมอตลอดว่าผลข้างเคียงคืออะไรบ้าง อย่างน้อยจะได้เตรียมตัวถูก

 

 

ถ้าการไม่ได้ทำอะไรบางอย่างคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับความตาย ในตอนนี้มีอะไรบ้างที่ทั้งสองคนคิดว่าต้องทำให้ได้ ก่อนวันที่เราจะต้องจากโลกนี้ไปมาถึงจริงๆ

 

มิวนิค: อยากพาพ่อแม่ไปเที่ยว เพราะเมื่อก่อนเป็นคนที่ชอบเล่นเครื่องเล่น ตะลุยเล่นโน่นนี่นั่นกับพ่อแม่อยู่บ่อยๆ อยากกลับไปทำแบบนั้นให้มากขึ้น แล้วพ่อกับแม่จะพูดบ่อยๆ ว่าถ้าแก่แล้วอยากไปอยู่ต่างจังหวัด อยากเปิดคาเฟ่ ก็คิดว่าอยากเก็บสะสมเงินไปเรื่อยๆ เพื่อให้พวกท่านไปเปิดร้านกาแฟ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่ต่างจังหวัดได้ (หัวเราะ)

 

โจ้: ถ้าง่ายที่สุดคืออยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ที่เราสามารถตกแต่งได้แบบที่ต้องการ อาจจะมาจากปมในใจที่อายุขนาดนี้แล้ว แต่ยังไม่เคยมีห้องส่วนตัวของตัวเองเลย เพราะต้องอยู่ห้องพี่สาวมาตลอด (หัวเราะ)

 

แต่ที่อยากกว่านั้น และไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม คือโจ้อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วเราทำอะไรได้ดี และเราอยากทำอะไรกันแน่ในชีวิต คือในขณะที่เราเห็นคนรอบตัวที่อายุใกล้ๆ กัน หรือโตกว่านิดหน่อยประสบความสำเร็จไปหลายคนแล้ว แต่เหมือนเรายังไม่ไปไหน โดยเฉพาะเรื่องการแสดง ก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นดาราได้ขนาดนั้น

 

อย่างช่วงหนึ่งโจ้เคยไปช่วยเพื่อนที่เป็นคนขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำไลฟ์ขายของ เขาโตกว่าเราแค่ 2-3 ปีเองนะ แต่ซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้แล้ว เลยคิดว่าถ้านึกอะไรไม่ออก อาจจะลองไปขายของก็ได้ (หัวเราะ)

 

มิวนิค: อันนี้ก็เป็นอีกข้อที่อยากทำให้ได้เหมือนกันนะ ตอนนี้มิวยังไม่รู้แนวทางชีวิตตัวเองเหมือนกัน เพราะงานตรงนี้ก็ยังไม่มั่นคง แถมการเรียนก็เลือกเรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ไม่ได้เกี่ยวกับสายงานนี้อีก แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังอยากทำงานให้ดีที่สุดก่อน แต่ถ้าคิดไกลๆ ก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีหลายอย่างมากเลยที่อยากทำ

 

 

ความสำเร็จของเพื่อนที่โจ้พูดถึง หรือการอยู่ในวง BNK48 ที่เหมือนว่าเพื่อนๆ หลายคนประสบความสำเร็จนำมิวนิคไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้ทั้งสองคนเครียด กดดัน หรือว่ากลัวได้มากน้อยขนาดไหน

 

โจ้: ถามว่าอิจฉาไหน โอเค อิจฉาแหละ (หัวเราะ) แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจได้เนอะ ว่าเราอยากเป็นแบบเขาให้ได้เหมือนกันที่ชัดเจนแล้วว่าต้องการทำอะไรในอนาคต ซึ่งจริงๆ โจ้ไม่ได้เพิ่งมาเริ่มหาตัวเองนะ เราหามานานแล้ว แค่มันยังไม่เจอ (หัวเราะ)

 

ก่อนหน้านี้ไปทริปไซบีเรีย-ยุโรป แล้วเห็นว่ามีร้านกาแฟเยอะมาก จากคนที่ไม่รู้จักกาแฟเลย กลายเป็นอินมาก กลับมารีบไปลงคอร์สเรียนบาริสต้า พาแม่ไปด้วยนะ เอาจริงเอาจังมาก แต่พอเรียนเสร็จ เออ ดีแล้วแหละเนอะที่เราไม่ชอบกินกาแฟ (หัวเราะ)

 

สักพักมีพี่คนหนึ่งติดต่อให้ไปเป็นแบบต่อขนตา แล้วคุยกันถูกคอมาก จนพี่เขาชวนเข้าทีมให้เป็นช่างต่อขนตาด้วย (หัวเราะ) สอนให้ฟรีด้วยนะ เราก็ไปทำกับเขา สักพักปวดตา ปวดหลังมาก แล้วเป็นงานที่ละเอียดแล้วพื้นฐานเราไม่ใช่คนใจเย็นที่จะทำอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว อดทนจนจบงานหนึ่งปุ๊บ โอเค ลาแล้วนะคะพี่ (หัวเราะ) แต่เงินมันดีจริงๆ นะคะ ใครที่ใจเย็นแล้วอยากหารายได้เสริมโจ้แนะนำเลย

 

เพราะฉะนั้นถามว่าเครียดไหม ก็เครียด แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกดีที่เราไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ อย่างน้อยก็ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง สุดท้ายอาจจะไม่สำเร็จ หรือยังไม่เจอสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ แต่อย่างน้อยการที่ได้ลองทำ แล้วได้รู้ว่าโอเค เราไม่ชอบสิ่งนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างก็โอเคแล้ว

 

 

มิวนิค: ถ้าใน BNK48 มิวไม่ค่อยกลัวเรื่องการประสบความสำเร็จ เพราะแทบไม่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับสมาชิกคนอื่นเลย ไม่ได้คิดถึงขนาดว่าต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้ เพราะมันเครียดมากเกินไปจริงๆ เลยคิดแค่ว่าจะได้อันดับที่เท่าไรก็ไม่เป็นไร แค่ทำตรงนี้แล้วมีความสุขก็ทำต่อไป

 

แต่ถ้าเปรียบเทียบจริงๆ จะเป็นพี่ชายของมิวมากกว่า เพราะเขาก็เริ่มต้นจากการหาตัวเองไม่เจอเหมือนกัน แต่ในที่สุดเขาก็ยอมทิ้งทุกอย่างที่เรียนมาทั้งหมด แล้วไปทุ่มเทให้กับการเป็นสจวร์ต ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอยากเป็นจริงๆ แล้วเขาก็ได้เป็นในสิ่งที่ต้องการ

 

ตอนนี้มีหลายคนนะที่บอกมิวว่า โชคดีนะที่หาตัวเองเจอ แล้วก็เดินทางมาได้ไกลแล้ว แต่ลึกๆ ในใจเรายังรู้สึกเคว้งคว้างอยู่เลย ถ้าวันหนึ่งเราทำงานตรงนี้ไม่ได้ขึ้นมาล่ะจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงสิ่งที่ทำให้กดดันหรือเครียด น่าจะเป็นเรื่องที่นี้มากกว่า เรื่องความสำเร็จที่จะตามมาในอนาคต

 

โจ้: เรื่องนี้ซับซ้อนเหมือนกันนะ เพราะเอาจริงๆ พี่ที่โจ้ไปช่วยเขาขายเสื้อผ้า ที่ประสบความสำเร็จ ซื้อบ้านของตัวเองได้ แต่ถ้าไปถามเขาจริงๆ ลึกๆ ในใจ เขาอาจไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ และอาจจะยังเคว้งคว้างแบบที่มิวนิครู้สึกอยู่เหมือนกันก็ได้

 

มิวนิค: เคยคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่บ่อยมากเลยนะ เขาก็คอยบอกตลอดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเวลาจะพาทุกอย่างไปในทิศทางของมันเอง ตอนนี้ก็เลยเป็นเหมือนที่พี่โจ้บอกว่า เราคงอยู่ในช่วงที่ทดลองทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อค้นหาให้เจอว่าที่สุดแล้วเราต้องการทำ หรือต้องการเป็นอะไร

 

ข้ามจากความกังวล ความกลัวในช่วงชีวิตวัยรุ่นที่กำลังเผชิญอยู่ ทั้งสองคนคิดว่ามีลักษณะนิสัยของ ‘ผู้ใหญ่’ แบบไหนบ้างไหม ที่น่ากลัวว่าวันหนึ่งเราจะเติบโตไปเป็นแบบนั้นมากที่สุด

 

โจ้: เป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน

 

แต่หลายๆ อย่างที่โจ้พูดมา โดยเฉพาะเรื่องกลัวความจน นี่เหมือนกำลังบอกว่าโจ้จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเงินอยู่นะ

 

โจ้: (หัวเราะ) ใช่ๆ เลยกลัวไงคะ ว่าในอนาคตเราจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่คิดแบบนั้นแค่อย่างเดียว คือกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินแล้วไปเบียดเบียนคนอื่น เพราะถ้าพูดจริงๆ โจ้รู้สึกว่าเราเป็นคนยืดหยุ่นนะ คือเราก็มีความรักตัวเอง มีความยืดหยุ่นที่ถ้าไม่ถึงขนาดไปโกงกินใคร ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่น่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเอาตัวรอด มันเลยกลายเป็นความกลัวขึ้นมา ว่าในท้ายที่สุดเราไม่อยากเป็นคนแบบนั้น

 

มิวนิค: มิวกลัวเป็นผู้ใหญ่ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ เป็นคนที่พอทำผิดแล้วไม่รู้ว่าตัวเองกำลังผิดอยู่ ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เพราะตอนนี้พอได้ทำงาน ได้เจอโลกกว้างมากขึ้น ก็มีความคิดหลายอย่างที่เชื่อมั่นว่าถูก บางอย่างก็คิดไม่ตรงกับคุณแม่ ตอนนี้ยังดีที่คุณแม่ช่วยคิดอยู่ แต่ถ้าวันหนึ่งแม่ไม่ได้มาช่วยคิดแบบตอนนี้ แล้วเราไปทำอะไรพลาดพลั้งในสิ่งที่แย่มากๆ โดยไม่ฟังที่คนอื่นเตือนเลย แบบนี้น่ากลัวนะ

 

 

ในเรื่อง กระสือสยาม มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ตัวละครวีณาและโมราของทั้งคู่ เป็นคนที่ถูกโชคชะตากำหนดให้ ‘เป็น’ หรือ ‘ทำ’ อะไรบางอย่างโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยส่วนของทั้งสองคนมีความกังวล หรือกลัวกับสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาแบบนี้มากน้อยขนาดไหน

 

โจ้: อยากจะเปิดรอยสักให้ดูเลย โจ้สักว่า life is a (fix) journey คือที่เคยเห็นกันก็จะเป็นแบบ life is a journey หรือชีวิตคือการเดินทางอะไรแบบนี้ แต่โจ้รู้สึกว่ามันคือการเดินทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เราเลือกได้ก็จริง แต่เราเลือกได้ในสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกได้ทุกอย่าง มันมีตัวแปรหลายอย่างที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา มันไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะไปได้ถึงที่ตัวเองฝัน

 

เลยพยายามคิดว่าอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุดดีกว่า มีความสุขกับอะไรที่มันมีอยู่จริง หมายถึงว่าที่มันไม่ต้องทะเยอทะยานขวนขวายแบบถีบตัวเองขึ้นไปขนาดนั้น มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่นั่นแหละ

 

มิวนิค: เชื่อเหมือนกันค่ะอย่างที่พี่โจ้บอกเลย มิวไม่เชื่อว่าเราจะทำทุกสิ่งที่เราต้องการได้ทั้งหมด ตอนเด็กๆ มิวเคยคิดอยากเรียนเป็นนักการทูต เพราะชอบเรื่องที่เกี่ยวกับต่างประเทศ แต่พอพูดให้คนอื่นฟัง ทุกคนก็บอกว่าจะเรียนจริงๆ เหรอ อย่าเลย เป็นไม่ได้หรอก ไม่มีใครเลยที่บอกว่า เฮ้ย ลองดูก่อนสิ จนสุดท้ายพอรู้ตัวอีกที เราก็เลิกคิดเรื่องนั้นไปแล้ว เพราะฉะนั้นอาจจะเรียกว่าโชคชะตา หรืออะไรก็ตาม แต่มันมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างจริงๆ ที่มีผลกับความฝันและตัวตนของเรา

 

โจ้: บางเรื่องมันอยู่ที่ต้นทุนด้วยนะ คือคนเราเกิดมาต้นทุนเรามันไม่เท่ากันอยู่แล้ว อันนี้ก็ต้องยอมรับ

 

สุดท้ายมันกลายมาเป็นข้ออ้างเวลาเราไม่สามารถทำอะไรบางอย่างได้ด้วยไหม เมื่อคิดว่าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราถูกกำหนดไว้แล้วว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้

 

โจ้: ต้องถามก่อนว่าก่อนจะอ้างแบบนั้น ได้ทดลองทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่หรือยัง ที่โจ้พูดแบบนั้น อย่างน้อยก็มั่นใจได้นะว่าเราได้เคยลองทำหลายอย่างมาแล้ว ก่อนที่จะบอกว่าเราไม่เหมาะกับสิ่งนั้นจริงๆ

 

ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง กระสือสยาม

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

FYI
  • โจ้ รับบทเป็น วีณา สาววัยรุ่นที่ถูกลุงเธอสั่งสอนให้ดูแล โมรา น้องสาวของตัวเอง เพื่อปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายอย่าง กระสือ จนทำให้เธอไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองได้
  • มิวนิค รับบทเป็น โมรา ผู้ที่เกิดมาในตระกูลที่มีความเกี่ยวข้องกับ กระสือ และเธอจึงถูกตามล่าจาก ราตรี นางพญาแห่งเผ่าพันธ์ุกระสือ เมื่อมีอายุครบ 16 ปี เธอจะต้องกลายเป็นกระสือ
  • มิวนิค คือหนึ่งในสมาชิกรุ่นที่สองของวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 เคยมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง My Best Bodyguard รับบทเป็น นิชาวัยเด็ก และเคยเป็นพิธีกรรายการดิสนีย์คลับ โจ้ เคยผ่านผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกจากเรื่อง #BKKY ในบทโจโจ้
  • ภาพยนตร์เรื่อง กระสือสยาม คือผลงานเรื่องใหม่ของผู้กำกับ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ร่วมกับนักแสดงมากประสบการณ์ หญิง-รฐา โพธิ์งาม และ ต๊อก-ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ
  • มีกำหนดเข้าฉายวันที่ 4 เมษายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising