มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เริ่มต้นรายงานผลประกอบการของ Meta ด้วยการพูดถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากนั้นจึงเข้าสู่ประเด็น Metaverse พร้อมกับชูเรื่องชุดหูฟัง แว่นตา และระบบปฏิบัติการของบริษัท แต่ตลอดการเปิดเผยข้อมูลตอนแรก เขามุ่งเน้นที่หลายๆ ด้านที่ทำให้ Meta สูญเสียเงิน
ทว่านักลงทุนไม่เห็นด้วย หุ้นของ Meta ร่วงลงมากถึง 19% ในการซื้อ-ขายนอกเวลาทำการของวันพุธที่ผ่านมา ลบ Market Cap ไปกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 7.4 ล้านล้านบาท การร่วงลงอย่างมากเกิดขึ้นแม้ว่า Meta รายงานผลกำไรและรายรับสำหรับไตรมาสแรกดีกว่าที่คาดไว้
ซักเคอร์เบิร์กดูเหมือนพร้อมสำหรับการลดราคาหุ้น “ผมคิดว่ามันคุ้มที่จะชี้ให้เห็นว่าโดยปกติแล้วหุ้นของเรามีความผันผวนสูงในช่วงผลิตภัณฑ์ใหม่ของเรา ซึ่งเราลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยังไม่ได้สร้างรายได้จากมัน” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว และได้ยกตัวอย่างความพยายามในอดีต อย่างเช่น บริการวิดีโอสั้น Reels, สตอรี และการเปลี่ยนผ่านมาพึ่งพารายได้จากอุปกรณ์โมบายล์
Meta สร้างรายได้ถึง 98% จากโฆษณาดิจิทัล แต่เท่าที่ซักเคอร์เบิร์กพูดถึงโฆษณา เขามองไปยังอนาคตและวิธีที่บริษัทอาจเปลี่ยนการลงทุนในปัจจุบันให้เป็นเงินจากโฆษณา จากการพูดคุยถึงความพยายามของ Meta ในการสร้าง ‘AI ระดับแนวหน้า’ เขากล่าวว่า “มีหลายวิธีในการสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ที่นี่ รวมถึงการเพิ่มสเกลการส่งข้อความทางธุรกิจ การนำโฆษณาหรือเนื้อหาแบบชำระเงินมาสู่การโต้ตอบด้วย AI”
เขาใช้เวลาพูดถึง Meta Llama 3 โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) ตัวล่าสุดของบริษัท และการเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้ของ Meta AI ซึ่งเป็นคำตอบของบริษัทต่อ ChatGPT ของ OpenAI ในการต่อกรด้าน AI
จากนั้นซักเคอร์เบิร์กก็ย้ายไปที่โอกาสสำหรับการขยายตัวภายในตลาดชุดหูฟัง Mixed Reality อย่างเช่น ชุดหูฟังสำหรับคนทำงานหรือสำหรับคนที่ออกกำลังกาย Meta เพิ่งเปิดให้เข้าถึงระบบปฏิบัติการที่ขับเคลื่อนชุดหูฟัง Quest เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซักเคอร์เบิร์กบอกว่า การเปิดระบบนี้จะช่วยให้ระบบนิเวศของ Mixed Reality เติบโตเร็วขึ้น
เขายังพูดถึงแว่นตา AR ของ Meta ด้วย โดยเรียกมันว่า ‘อุปกรณ์ในอุดมคติสำหรับผู้ช่วย AI’ เพราะคุณสามารถทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่คุณเห็นและได้ยินสิ่งที่คุณได้ยิน
ระหว่างนี้หน่วย Reality Labs ของ Meta ซึ่งเป็นที่ทำงานพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับ Metaverse ที่เพิ่งเกิดยังขาดทุนยับต่อเนื่อง Reality Labs รายงานยอดขาย 440 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก และขาดทุน 3.85 พันล้านดอลลาร์ การขาดทุนสะสมของหน่วยนี้มาตั้งแต่สิ้นปี 2020 ทะลุ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.7 แสนล้านบาทแล้ว
กระนั้นราคาหุ้นของ Meta ก็ยังเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในปีที่แล้ว และแม้จะปิดตลาดในวันพุธก็ยังสูงขึ้น 40% ในปี 2024 ราคาเคยทำสถิติสูงสุด 527.34 ดอลลาร์เมื่อต้นเดือนเมษายน
หลังจากปี 2022 อันโหดร้ายที่บริษัทสูญเสียมูลค่าไปราว 2 ใน 3 ซักเคอร์เบิร์กดูจะกลับมาได้รับความเชื่อมั่นจาก Wall Street อีกครั้ง
ตัวขับเคลื่อนให้ราคาตีกลับมาคือ แผนลดต้นทุนที่ซีอีโอของ Meta ประกาศเมื่อต้นปีที่แล้ว ตอนที่เขาบอกกับนักลงทุนว่า ปี 2023 จะเป็น ‘ปีแห่งประสิทธิภาพ’ บริษัทลดจำนวนพนักงานและตัดโครงการที่ไม่จำเป็น เพื่อการเป็น ‘องค์กรที่แข็งแรงและคล่องตัวขึ้น’
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวเมื่อวันพุธว่า Meta จะดำเนินงานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การโยกย้ายทรัพยากรที่มีอยู่ไปใช้ในการลงทุนด้าน AI จะ “ทำให้งบลงทุนของเราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีความหมาย”
คาดว่ารายจ่ายลงทุนปี 2024 จะอยู่ในราว 3.5-4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 3-3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ “เนื่องจากเรายังคงเร่งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนโรดแมปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของเรา” Meta ระบุ
ซักเคอร์เบิร์กบอกว่า คาดว่าจะเห็น ‘วัฏจักรการลงทุนที่กินเวลาหลายปี’ ก่อนที่ผลิตภัณฑ์ AI ของ Meta จะขยายไปถึงการให้บริการที่มีกำไร แต่ก็บอกด้วยว่าบริษัท ‘มีประวัติที่ดี’ ในเรื่องนี้
ซูซาน ลี หัวหน้าฝ่ายการเงินของ Meta กล่าวสะท้อนคำพูดของซักเคอร์เบิร์กว่า บริษัทต้องการพัฒนารูปแบบขั้นสูงและขยายขนาดผลิตภัณฑ์ออกไป ก่อนที่จะขับเคลื่อนรายได้อย่างมีความหมาย
“แม้จะมีศักยภาพสูงในระยะยาว แต่เรายังแค่เริ่มแรกในเส้นทางที่จะเห็นผลตอบแทน” ลีกล่าว
แม้แต่ก่อนที่การแถลงข้อมูลจะเริ่มต้นขึ้น นักลงทุนก็เริ่มขายหุ้นที่ถือไว้แล้ว นั่นเป็นเพราะ Meta ออกคาดการณ์รายรับในไตรมาสที่ 2 แบบไม่สดใสนัก บดบังผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาสแรก
ขณะที่ราคาหุ้นร่วงหนักซักเคอร์เบิร์กบอกกับนักลงทุนว่า หากพวกเขายินดีจะร่วมเดินทางต่อไป ก็อาจได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นกัน
“โดยปกติแล้วการลงทุนเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่มขนาดในแอปพลิเคชันของเราเป็นการลงทุนระยะยาวที่ดีมากสำหรับเราและสำหรับนักลงทุนที่อยู่กับเรา และสัญญาณเริ่มต้นที่นี่ก็ค่อนข้างสดใสเช่นกัน” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว “แต่การสร้าง AI ชั้นนำจะต้องลงแรงมากกว่าประสบการณ์อื่นๆ ที่เราเพิ่มเติมเข้าไปในแอปของเรา และเรื่องนี้คงใช้เวลาหลายปี”
ภาพ: Alex Wong / Getty Images
อ้างอิง: