เกิดอะไรขึ้น:
ใน 1Q66 ราคาน้ำมันเบรนท์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 81.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 18%YoY และ 8%QoQ สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบของตลาดต่ออุปสงค์ ในขณะที่อุปทานน้ำมันจากกลุ่มนอก OPEC ยังคงเพิ่มขึ้นท่ามกลางการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่ลดลง เนื่องจากสหภาพยุโรปเริ่มคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป
สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลทำให้ปริมาณน้ำมันคงคลังทั่วโลกเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน ที่ 2,851 ล้านบาร์เรล มุมมองเชิงบวกต่อการกลับมาเปิดประเทศของจีนเลือนหายไป เนื่องจากความวุ่นวายในภาคธนาคารในสหรัฐฯ และยุโรป อาจฉุดรั้งให้อุปสงค์น้ำมันต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เหตุการณ์นี้ส่งผลทำให้กลุ่ม OPEC+ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการลดการผลิตน้ำมันลง
กลุ่ม OPEC+ สร้างเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการลดการผลิตน้ำมันลง 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน มีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม เมื่อรวมกับอุปทานของรัสเซียที่ลดลง 500,000 บาร์เรลต่อวัน จะทำให้อุปทานน้ำมันลดลง 1.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม เหตุการณ์นี้หนุนให้ราคาน้ำมันในตลาดจรในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมากกว่า 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากระดับเฉลี่ย 77-78 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้าปรับขึ้น 5-6.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับเดือนมิถุนายน-ธันวาคม
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่ากลุ่ม OPEC+ มีมุมมองเชิงลบต่ออุปสงค์น้ำมันโลกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่ม OPEC+ ในการจัดการอุปทานและรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน
การตัดสินใจครั้งล่าสุดนี้ส่งผลให้ปริมาณการปรับลดการผลิตน้ำมันโดยรวมของ OPEC+ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปริมาณการปรับการลดการผลิตโดยรวม 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนตุลาคม 2565 เทียบกับปริมาณการปรับเพิ่มการผลิตโดยรวม 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปี 2565 หลังจากลดการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนพฤษภาคม 2563
สำหรับปี 2566 คาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์เฉลี่ยที่ 82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (เทียบกับประมาณการของ US EIA ที่ 83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล) ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่ยึดหลักความระมัดระวังมากกว่า Market Consensus ที่ 88 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อพิจารณาจาก Forward Curve ในปัจจุบัน ราคาน้ำมันเบรนท์จะมีค่าเฉลี่ยที่ 82.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ยังคงมุมมองที่ว่าราคาน้ำมันจะลดลงสู่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในปี 2567 และค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ภายในปี 2568 โดยมีสาเหตุมาจากอุปทานน้ำมันทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC ซึ่งอาจได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน ในขณะที่อุปสงค์จะได้รับผลกระทบจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อสูงและนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น
ส่วนค่าการกลั่น GRM ดีขึ้น QoQ ใน 1Q66 แต่ขาดทุนสต๊อกจะส่งผลกระทบต่อกำไร Singapore GRM เพิ่มขึ้น 30%QoQ สู่ 8.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ใน 1Q66 (เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1%YoY) โดยได้แรงหนุนจาก Crack Spread ของน้ำมันเบนซินที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการกลับมาเปิดประเทศของจีนกระตุ้นให้ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการขนส่งเพิ่มขึ้น ในขณะที่ Crack Spread ของผลิตภัณฑ์ Middle Distillate (น้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน) กลับมาอยู่ที่ระดับปกติ เพราะอุปทานเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นใหม่ในภูมิภาค แม้ว่าจะมีการหยุดงานประท้วงเป็นเวลานานในฝรั่งเศส
ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันจะได้รับผลกระทบจากขาดทุนสต๊อก 0.8-1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่ลดลงในเดือนมีนาคม GRM ลดลงมาอยู่ที่ <6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ใน 2Q66TD เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นเพราะ Crude Premium สูงขึ้นหลังจากกลุ่ม OPEC ลดการผลิต ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันดีเซลจะกลับคืนสู่ระดับปกติหลังจากมีความต้องการใช้เชื้อเพลิงประเภท Unconventional สำหรับผลิตไฟฟ้าในปีที่ผ่านมา
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (SETENERG) ปรับเพิ่มขึ้น 1.80%MoM และราคาหุ้น BCP ปรับลดลง 1.57%MoM ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 1.41%MoM
มุมมองต่อผู้ประกอบการ:
InnovestX Research มองว่าผู้ผลิตน้ำมันต้นน้ำมีความน่าสนใจน้อยลง เนื่องจากราคาน้ำมันลดลง YoY แม้ว่า OPEC จะลดการผลิตลงก็ตาม โดยชอบผู้ประกอบการปลายน้ำที่มีการกระจายธุรกิจและมีการลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ ซึ่งเลือกหุ้นเด่นของกลุ่มเป็น BCP (OUTPERFORM, ราคาเป้าหมาย 44 บาทต่อหุ้น) ค่าการกลั่นและปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นของ BCP สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในปี 2565 และจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 โดยได้รับการสนับสนุนจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีและเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกของบริษัท
นอกจากนี้การเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน ESSO จะเพิ่มมูลค่าให้กับ BCP เมื่อพิจารณาจากราคาเข้าซื้อยุติธรรม ส่วนแบ่งกำไรจาก ESSO และ Synergy ในการดำเนินงานและการตลาด นอกเหนือจากพัฒนาการเชิงบวกดังกล่าวและ GRM ที่แข็งแกร่งในปี 2566 แล้ว ยังชอบ BCP ที่มีการลงทุนในธุรกิจ E&P ในนอร์เวย์ ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซที่สำคัญในยุโรปเพื่อทดแทนอุปทานจากรัสเซีย
ด้านราคาหุ้น SETENERG ปรับตัวลดลง 9%YTD แย่กว่า SET ที่ลดลง 5% เพราะตลาดมีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกท่ามกลางภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและความวุ่นวายในภาคธนาคาร การประกาศลดอุปทานน้ำมันโดยกลุ่ม OPEC+ เมื่อไม่นานมานี้ดูเหมือนจะทำให้ราคาน้ำมันและ SETENERG ปรับขึ้นได้แค่ช่วงสั้นๆ เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- ราคาน้ำมัน GRM และอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน
- การเปลี่ยนแปลงความชอบที่ผู้บริโภคมีต่อเชื้อเพลิงฟอสซิล และ
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ นำตลาดผันผวน หลัง IMF มองว่าความเสี่ยง Recession น้อยลง
- ตลท. ขยายกรอบ ‘Ceiling & Floor’ ใหม่ให้สอดคล้องกับตลาดหุ้นนอก พร้อมประกาศเพิ่มเครื่องหมาย P เตือนหุ้นที่ซื้อขายผิดปกติ เริ่มมีผลใช้ใน 1Q66
- ย้อนรอย ‘ออลล์ อินสไปร์’ ก่อนเบี้ยวดอกเบี้ยหุ้นกู้ ฟากผู้บริหารชิงขายหุ้น ก่อนราคาดิ่ง 90% จากจุดสูงสุด