ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจากผู้ประกอบธุรกิจที่มีความหลากหลาย พยายามตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกเรื่อง มาเป็นการให้ความสำคัญใน 5 กลุ่มธุรกิจหลักที่มีความชำนาญ ได้แก่ ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเน็ตเวิร์กโซลูชัน ซึ่งเหล่านี้ดำเนินงานธุรกิจในลักษณะงานโครงการเป็นหลัก และอีก 2 ธุรกิจคือ ธุรกิจบริการ และธุรกิจเทรดดิ้ง ที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring)
ในอดีต รายได้ส่วนใหญ่ของล็อกซเล่ย์มาจากงานโครงการ ซึ่งมีความไม่แน่นอนโดยธรรมชาติ เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท สิ่งนี้อาจมีตั้งแต่ความผันผวนของตลาดไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล หรือแม้แต่เหตุการณ์ระดับโลกที่ไม่คาดคิด เช่น โรคระบาด
เป็นที่มาของนโยบายสร้างความมั่นคงในเรื่องรายได้ และการสร้างความสมดุลของพอร์ตธุรกิจ โดยพยายามเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำให้มากขึ้น ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สายธุรกิจเทรดดิ้งมียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยปีที่แล้วธุรกิจเทรดดิ้งมีรายได้ 4,831 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของรายได้รวม 13,220 ล้านบาท สืบเนื่องจากการขยายธุรกิจเดิมที่มีอยู่ และสร้างธุรกิจใหม่ที่ส่งเสริมหรือเกื้อหนุนธุรกิจหลักที่ทำอยู่
ประเด็นหนึ่งที่การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดเจนคือในธุรกิจการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด เดิมทีกิจการนี้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ใหม่ของล็อกซเล่ย์ พวกเขาได้เริ่มสำรวจและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยปรับบทบาทจากผู้จัดจำหน่ายโดยตรงมาเป็นผู้ร่วมลงทุน
การกระจายความเสี่ยงของล็อกซเล่ย์ขยายออกไปนอกเหนือธุรกิจเทรดดิ้ง ภายใต้อีก 2 บริษัทคือ บริษัท แอล ฟู้ดโซลูชันส์ จำกัด ให้บริการด้านร้านอาหาร และบริษัท สยามสมุทร วาริน จำกัด ดำเนินธุรกิจนำเข้าวัตถุดิบอาหารเพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่ม HoReCa (โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง)
ล่าสุด ล็อกซเล่ย์ได้เปิดร้านวาคิว ยากินิคุ (WaQ Yakiniku) ที่ศูนย์การค้าเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ (Asiatique The Riverfront) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ชื่นชอบเมนูบุฟเฟต์ปิ้งย่างในย่านเจริญกรุงและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เริ่มกลับมาหลังจากสถานการณ์โควิดที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
แบรนด์ดังกล่าวเปิดมาได้ 11 ปีแล้ว และมีอยู่ 3 สาขา ได้แก่ 1. สาขาเอสพละนาด รัชดา 2.สาขาดิเอ็กซ์เพลสมอลล์ กาญจนาภิเษก และ 3. สาขาเดอะการ์เด้น คลองเตย (ข้างอาคารล็อกซเล่ย์ คลองเตย)
การตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารนั้นดูสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน ตลาดร้านอาหารในประเทศไทยตามข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมูลค่ากว่า 4.18-4.25 ล้านบาทในปี 2565 นอกจากนี้ คาดว่าจะเติบโตระหว่าง 2.70-4.50% ในปี 2566 สิ่งทีน่าสนใจคือตลาดปิ้งย่าง 9 พันล้านบาท เป็นหนึ่งในกลุ่มที่กำลังเติบโต
กระนั้นธุรกิจร้านอาหารก็ไม่ได้ง่าย เพราะการแข่งขันสูง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ร้านอาหารเปิด-ปิดแทบทุกวัน ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กต่างรุกธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง เพิ่มการแข่งขันและนำแบรนด์อาหารต่างชาติใหม่ๆ เข้ามาในตลาดไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและกระแสความนิยมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
แต่ ‘ล็อกซเล่ย์’ ก็เชื่อว่า เอาอยู่ สะท้อนได้จากร้านวาคิว ยากินิคุที่มี ‘กำไร’ เรียบร้อยแล้ว
