พื้นที่สร้างสรรค์ในชื่อแปลกหูอย่าง ‘ช่างชุ่ย’ ที่หลายคนต่างตั้งตารอคอย เพิ่งเปิดให้บริการมาได้สดๆ ร้อนๆ แม้จะยังอยู่ในช่วง Soft launch และจะมีการเปิดแกรนด์โอเพนนิงอีกที แต่ตอนนี้หลายส่วนในโครงการก็พร้อมที่จะให้หลายคนไปสัมผัส และใช้เวลาว่างในวันชิลล์ๆ กันแล้ว โครงการนี้จะมีไฮไลต์อะไรที่น่าสนใจบ้าง ตาม THE STANDARD ไปดูกัน
1. เครื่องบิน Lockheed L-1011
แลนด์มาร์กของช่างชุ่ยที่ใครไปถึงก็ต้องไปแชะภาพ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในอีก 2 เดือนข้างหน้าเครื่องบินลำนี้จะได้รับการปรับโฉมให้กลายเป็นร้านอาหารชื่อ ‘Na-Oh’ ซึ่งล้อมาจาก ‘Noah’ ตามไบเบิล คือเรือที่ใช้อพยพสัตว์นานาพันธุ์หนีน้ำท่วม ส่วนร้านอาหาร Na-Oh จะพาทุกคนไปสู่โลกใหม่ของอาหารไทย เป็นการหยิบยกการทำอาหารไทยในสมัยก่อนมาเล่าใหม่ผ่านนวัตกรรมที่ล้ำสมัย โดยเชฟมิชลินสตาร์จากนิวยอร์กชื่อ Andy Yang
2. เรือนกระโหลก (Skull Corner)
ร้านต้นไม้ในเรือนกะโหลก สวนแห่งจินตนาการเกิดจากความชอบต้นไม้ของคุณสมชัย ส่งวัฒนา ผู้ริเริ่มโครงการช่างชุ่ย ซึ่งเป็นคนชอบหัวกะโหลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความตาย เมื่อนำมารวมกับต้นไม้ที่แสดงถึงชีวิตและความเจริญงอกงาม จึงกลายเป็นความขัดแย้งที่น่าสนใจ เรือนกะโหลกนี้มีต้นไม้จิ๋วหลากหลายพันธุ์ และกระถางเซรามิกจำหน่าย ส่วนในวันหยุดสุดสัปดาห์จะเป็นจุดที่ชาวไร่ชาวสวนเอาผลผลิตมาขาย รวมถึงตั้งใจจะใช้เป็นพื้นที่จัดเวิร์กช็อปปลูกต้นไม้ด้วย
3. ดูจิตแล้ว อะไรก็ช่าง
โรงมหรสพแห่งนี้จุคนได้ประมาณ 100 คน ใช้สำหรับเป็นพื้นจัดแสดงทั้งงานศิลปะการแสดง และจัดฉายภาพยนตร์ โดยผู้ที่ตั้งชื่อของอาคารหลังนี้คือ คุณพิเชษฐ์ กลั่นชื่น ศิลปินศิลปาธร ผู้สร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัยที่โด่งดัง ที่นี่จะมีทั้งงานแสดงที่เป็นละครเวที การแสดงร่วมสมัย และจัดฉายภาพยนตร์โดย Documentary Club หมุนเวียนกันไป
4. แดกดิ้น
จะว่าเป็นศูนย์อาหารของโครงการก็ว่าได้ แต่ไม่ใช่ฟู้ดคอร์ตธรรมดานะ เพราะช่างชุ่ยเลือกเฉพาะร้านเด็ดๆ ไว้ถึง 11 ร้าน ล้วนแล้วแต่เป็นร้านดังที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน หรือไม่ก็มีอาหารรสชาติดีเชื่อใจในรสมือได้ทั้งนั้น อาทิ โกวเล็ก, สุกี้ศาลายา, เก่ง เฮง เจริญ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำตำลึง, ข้าวขาหมูตรอกซุง บางรัก, ผัดไทยเตาถ่าน, ข้าวมันไก่กวนอา, ตำจัง, เตี๋ยวหลังวัง, เช็งซิมอี๊ อายิ้ว เท่งเกา ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมความอร่อยในราคาย่อมเยา ที่สำคัญคือตกแต่งได้เก๋มากเกินหน้าเกินตาฟู้ดคอร์ตทั่วไป
5. อาเหนก ป้าสง
อาคารหลังนี้ได้รับการอนุเคราะห์จากสองสามี-ภรรยา อาเหนก ที่จบอินทีเรียร์ ดีไซน์ และป้าสง ที่จบแฟชั่นจากเมืองปารีส ทั้งสองคนเป็นผู้คลั่งไคล้ใหลหลงในงานศิลปะ และเชื่อมั่นในเรื่องการทำประโยชน์เพื่อสังคม จึงบริจาคพื้นที่ 500 ตารางเมตร นี้ให้กับทางโครงการช่างชุ่ย เพื่อดำเนินการเป็นอาคารมัลติฟังก์ชัน รวบรวมความรู้ งานศิลปะ และความบันเทิง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น อาร์ตแกลเลอรีสำหรับจัดนิทรรศการ หอประชุมสำหรับจัดเสวนา ไปจนถึงจัดแสดงคอนเสิร์ต และเปิดเป็นตลาดขนาดย่อมๆ
6. Galaxy Barber
ร้านตัดผมของผู้ชายที่ถูกมนุษย์ต่างดาวล้างสมอง หลีกหนีร้านตัดผมในบรรยากาศเดิมๆ (แบบเอะอะอะไรๆ ก็วินเทจ) เข้าสู่โหมดไซไฟ ที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ นอกจากตัดผมเสริมหล่อให้ดูเนี้ยบจากผลิตภัณฑ์ที่เลือกสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว การตกแต่งร้านยังแหวกแนว แถมยังมีคุณเอเลี่ยนให้เราได้ชักภาพร่วมกับเขาอีก
7. Insects in the Backyard
ร้านอาหารในบรรยากาศสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ของสิ่งมีชีวิตหลากสีสัน แตกต่างพันธุ์ ต่างเสน่ห์ และรสชาติอันน่าพึงใจ ใครจะเชื่อว่าแมลงที่ใครหลายคนยี้จะถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นอาหารด้วยการผสมผสานศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้คอนเซปต์ ‘อาหารแห่งอนาคต’ การให้เกียรติวัตถุดิบและลงมือปรุงอย่างรู้ค่าด้วยความรัก ยกตัวอย่าง พาสต้าซึ่งทำจากแมลง เสิร์ฟกับซอสคาโบนารา ตามด้วยขนมหวานอย่างเครปซูเซตต์ (crepe suzette) ที่เสิร์ฟกับไข่มดแดงผสมเนื้อส้มมาร์มาเลด ฯลฯ งานนี้ดูแลโดยเชฟใหม่-ฐิติวัชร ตันตระการ
8. หย่อนฌาน
เกิดจากคำถามที่ว่าถ้าสติปัญญาและจิตใจอ่อนล้าจะทำอย่างไร อาคารชื่อแปลกนี้รวม 3 สิ่งที่จะทำให้จิตใจของเราสำราญ และปัญญาเบิกบาน เริ่มด้วยการเลือกหนังสือจาก ‘The Booksmith’ สักเล่มไปอ่านให้สบายใจ ตามด้วยการจิบกาแฟหอมกรุ่นจาก ‘One Ounce for Onion’ สักแก้ว และซื้อของใช้สำนักงานแสนเก๋จาก ‘ละมุน’ กลับบ้าน
9. ชุ่ยเจริญ
ดูผาดๆ อาจจะคิดว่าเป็นร้านขายของชำหรือร้านโชว์ห่วย แต่ความจริงแล้วแรงบันดาลใจของ ‘ชุ่ยเจริญ’ คือการนำข้าวของที่มีคุณค่า ซึ่งบรรจงคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ส่งมอบถึงมือผู้ที่ชื่นชอบอย่างคลั่งไคล้ ทั้งงานออกแบบ งานศิลปะ ของตกแต่งบ้าน เครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย และของล้ำสมัยสารพัดสารพัน
10. ช่างเชื่อม Live
อาคารขนาด 220 ตารางเมตร ตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่นยุคโชวะ (ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง) เป็นอาคาร Live House ที่ทางช่างชุ่ยร่วมกันทำกับ บอย โกสิยพงษ์ ศิลปินและนักประพันธ์เพลง ผู้ซึ่งมีผลงานและอิทธิพลต่อวงการเพลงในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ที่นี่จะเป็นอาคารที่จะรวบรวมศิลปิน นักประพันธ์ และค่ายเพลงต่างๆ ให้มาพบปะกันและใช้อาคารนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อวงการดนตรีในประเทศไทย ภายในอาคารยังประกอบไปด้วย ‘ช่างเชื่อม shop’ ร้านขายของที่ระลึกจากศิลปินต่างๆ ที่นำมาฝากขาย ‘น้องท่าพระจันทร์’ ร้านขายซีดี แผ่นเสียง ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่เพียงไม่กี่ร้านที่ยังหยัดยืนได้ในยุคดิจิทัล
11. Thé Tea House
สาขาที่ 2 ของเตทีเฮาส์ หลังจากสาขาแรกที่หัวหินได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม ที่นี่เลือกเสิร์ฟ Mariage Frères ชาชั้นดีจากฝรั่งเศส รวมถึงทั้งเค้กและพายที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าชั้นดี เสน่ห์ของร้านอยู่ที่ความละเอียดอ่อน พิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การตกแต่งร้าน อาหาร เครื่องดื่ม ในบรรยากาศของเรือนกระจกที่ให้ความรู้สึกดิบ มีชีวิตชีวา และมีคอนทราสต์ได้อย่างน่าสนใจจากองค์ประกอบต่างๆ ที่เลือกใช้
12. โหย
คราฟต์เบียร์บาร์ที่มี 12 แท็ปให้เลือก เน้นเฉพาะเบียร์ที่เป็นเบียร์จริงๆ โดยในแต่ละวันรายการของเบียร์ที่มีให้เลือกจะหมุนเปลี่ยนเวียนไปตลอดเวลา ที่นี่ไม่มีโต๊ะให้นั่ง แต่เป็นบาร์เบียร์แบบ take away เมื่อได้เบียร์ที่สั่งแล้วก็เดินชุ่ยๆ ไปหาที่นั่งละเลียดแก้วที่ถืออยู่ในมือได้ตามสะดวก หมดแล้วโหยหาก็แค่วนกลับมา ดูแลงานโดย ‘อุดมสุข’ คราฟต์บริวเวอร์ไทยที่หลายคนไว้ใจในรสชาติ
ช่างชุ่ย ตั้งอยู่ที่ 460 ถนนสิรินธร แขวงบางพลัด เขตบางพลัด
เปิดให้บริการทุกวัน 16.00 – 23.00 น.
Facebook : ChangChui
Map:
ภายใต้สโลแกน ‘Thailand Tomorrow’ พื้นที่สร้างสรรค์ที่ชื่อว่า ช่างชุ่ย แห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ทั้งหมด 11 ไร่ เกิดจากความตั้งใจของ สมชัย ส่งวัฒนา ดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Flynow โดยมุ่งหวังเพื่อเปิด ‘บทสนทนา’ ระหว่างผู้คนจากแวดวงต่างๆ ทั้งศิลปิน คนค้าขายที่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงาน และคนทั่วไปที่เข้ามาใช้ประโยชน์เพื่อทั้งสาระและความบันเทิงจากพื้นที่ดังกล่าว