×

ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเมล็ดพันธุ์ของความเกลียดชัง

06.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS READ

 

  • แฟนแมนเชสเตอร์ ซิตี้บอกว่า ตลอดระยะเวลา 52 ปีที่ผ่านมา ทีมที่ไม่ชอบที่สุดคือยูไนเต็ดอย่างไม่ต้องสงสัย “แต่สำหรับในเวลานี้ทีมที่ไม่ชอบที่สุดคือลิเวอร์พูล”
  • เหตุผลหลักที่ทำให้ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้เริ่มไม่ถูกกันนั้นอยู่ที่ การที่ทั้งสองทีมนี้ต่างเป็นในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะเป็น
  • เจอร์เกน คลอปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ได้มีอะไรหมางใจกันมาก่อน ไม่ได้ชิงดีชิงเด่นกันแบบไม่มีใครยอมใครเหมือนคู่ของ ราฟาเอล เบนิเตซ กับ โฆเซ มูรินโญ

 

บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในฟอรัมพื้นที่สนทนาบนโลกออนไลน์ของแฟนฟุตบอลทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีชื่อตามเพลงประจำสโมสรว่า Bluemoon มีคำถามหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามไว้บนอากาศ แต่ทำให้เหล่า ‘ซิติเซนส์’ (ชื่อแทนแฟนฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ ซิตี้) ต้องหยุดและคิดไตร่ตรองหัวใจอย่างละเอียด

 

คำถามนั้นมีอยู่ว่า “เราไม่ชอบใครมากกว่ากัน” เขาหรือเธอที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนฝากไว้อีกว่า “ยูไนเต็ดหรือลิเวอร์พูล”

 

สิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเธอเกิดความสงสัยในใจนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งครับ เพราะหากใครติดตามเกมฟุตบอลอังกฤษมาบ้างจะทราบว่า สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้ว ทีมเดียวที่ยืนอยู่คนละสุดขอบโลกของพวกเขาคือ ยูไนเต็ด หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับร่วมเมืองที่ชิงชังกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในยุคพรีเมียร์ลีกที่สถานะของทั้งสองสโมสรแตกต่างกันชัดเจน

 

ในช่วงหลายสิบปีที่ยูไนเต็ดครองความยิ่งใหญ่ เหล่าซิติเซนส์ก็ได้แต่น้อยใจในโชคชะตา เห็นคู่ปรับร่วมเมืองยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงชโลมใจนอกเหนือจากการพยายามยกว่าพวกเขาคือ ‘ทีมของคนแมนเชสเตอร์’ ที่แท้จริง (เหน็บแนมว่ายูไนเต็ดเป็นทีมที่มีแต่แฟนบอลขาจรจากต่างประเทศ) คือ เกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี โอกาส 2 ครั้งในแต่ละปีที่พวกเขาจะได้อาละวาดพังทลายคู่แข่งอีกสีที่น่าอิจฉาให้สาแก่ใจ

 

ต่อเมื่อโชคชะตาบิดผัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษ ทุกอย่างก็กลายเป็นสลับขั้วกัน ทีมที่ครั้งหนึ่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หยันเหยียดว่าเป็นแค่ ‘เพื่อนบ้านที่ชอบส่งเสียงดัง’ ได้แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากยูไนเต็ด และพวกเขาก็ยังคงสะใจกับความย่อยยับของคู่ปรับร่วมเมืองอยู่อย่างนั้น

 

แต่การที่จู่ๆ มีแฟนซิติเซนส์คนหนึ่งเกิดความไม่แน่ใจว่า ณ เข็มนาฬิกาเดินไป พวกเขาเกลียดใครมากกว่ากัน ระหว่างยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล มันสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นปรปักษ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ ระหว่างสองทีมที่ไม่เคยมีเรื่องจงเกลียดจงชังกันมาก่อน และเริ่มจะไม่ชอบกันเพราะเริ่มรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของกันและกัน

 

แฟนซิติเซนส์คนที่ตั้งคำถามดังกล่าวขึ้น ซึ่งน่าจะมีอายุอานามพอสมควรไม่ใช่เด็กหัวใสวัยเกรียน เพราะบอกว่าตลอดระยะเวลา 52 ปีที่ผ่านมา เขาหรือเธอคงจะตอบว่าทีมที่ไม่ชอบที่สุดคือยูไนเต็ดอย่างไม่ต้องสงสัย “แต่สำหรับในเวลานี้ทีมที่ไม่ชอบที่สุดคือลิเวอร์พูล”

 

ถึงจะเป็นแค่ความไม่ชอบกันที่ยังดูเล็กน้อย แต่สัมผัสได้ว่าสิ่งเล็กน้อยนั้นกำลังเติบใหญ่ขึ้นทุกที

 

ในกระดานคำถามดังกล่าวมีคนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายหลายร้อยคน ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะยังคงแค้นฝังหุ่นกับเรื่องราวระหว่างพวกเขากับยูไนเต็ด แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไปในทิศทางเดียวกับผู้ตั้งคำถาม

 

ยังมีเหตุผลประกอบที่ทำให้ซิติเซนส์เริ่มชิงชังลิเวอร์พูล เช่น เรื่องที่ ‘หงส์แดง’ มักจะเป็นทีมที่สื่อให้ความรักและให้ความสนใจเสมอ โดยเฉพาะในปีที่พวกเขาเกือบจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แต่ ‘ลื่น’ ไป ก่อนที่ซิตี้จะแซงหน้าคว้าแชมป์ไปครองได้ในปี 2014

 

นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาคาราคาซังเรื่องการย้ายทีมของ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ในมุมของซิติเซนส์ พวกเขาหน่ายและเหนื่อยกับการเล่นแง่ของลิเวอร์พูล

 

และเรื่องที่กลายเป็นชนวนระเบิดความสัมพันธ์ล่าสุดกับการที่รถโค้ชของทีมซิตี้ถูกแฟนบอลเดอะ ค็อป เกเรจำนวนหนึ่งจู่โจมในช่วงที่พวกเขาเดินทางมาถึงสนามแอนฟิลด์ ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน

 

ฟังแล้วก็ชักเริ่มรู้สึกว่า ความไม่ถูกกันนี้ก็มีที่มาที่ไปเหมือนกันนะครับ

 

แต่ในเหตุผลหลักที่ทำให้ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้เริ่มไม่ถูกกันนั้นอยู่ที่ การที่ทั้งสองทีมนี้ต่างเป็นในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะเป็น

 

สำหรับลิเวอร์พูล แน่นอนว่าพวกเขาต้องการจะกลับมาประสบความสำเร็จ เป็นมหาอำนาจของทั้งวงการฟุตบอลอังกฤษและวงการฟุตบอลในระดับโลกเหมือนยุค ‘หงส์แดงตะแคงฟ้า’ ในวันวานอีกครั้ง

 

ภายใต้การบริหารของกลุ่ม Fenway Sports Group นายทุนจากเมืองมะกันก็ถือว่าพวกเขาทำได้ดีและเดินถูกทาง ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ

 

แต่ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ทีมอย่างลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จได้ถ้วยแชมป์แค่ใบเดียวคือ ลีกคัพ ในปี 2012 นอกเหนือจากนั้นพวกเขาเป็นได้เพียงรองแชมป์ ไม่ว่าจะเป็น เอฟเอคัพ (2012), ลีกคัพ (2016), ยูโรปา ลีก (2016), แชมเปียนส์ลีก (2018)

 

และที่เจ็บปวดที่สุดคือรองแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2014

 

ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นับจากที่ ชีค มานซูร์ นำอำนาจทางการเงินที่ไร้ขีดจำกัดราวกับเป็นธานอสแห่งโลกลูกหนังเข้ามาสู่ทีมในปี 2008 พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 3 สมัย (2011-2012, 2013-2014, 2017-2018), ลีกคัพ 3 สมัย (2014, 2015, 2018), เอฟเอคัพ 1 สมัย (2011) และคอมมิวนิตี ชิลด์ อีก 2 สมัย (2012, 2018)

 

ลิเวอร์พูลโหยหาการประสบความสำเร็จในแบบพวกเขา

 

แต่ในทางตรงกันข้าม ซิตี้เองก็อิจฉาในความเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ด้วยเกียรติประวัติที่สั่งสมมายาวนานของลิเวอร์พูลเช่นกัน

 

พวกเขาได้เพียงแต่ทำใจในทุกครั้งที่ต้องตกเป็นตัวประกอบของสถานการณ์ เมื่อสื่อให้ความสนใจกับทีมที่มีคนติดตามมากมายทั่วโลกอย่างลิเวอร์พูลมากกว่า

 

ซิติเซนส์กลายเป็นตัวตลกเมื่อพวกเขาประกาศรวมพลเพื่อต้อนรับรถบัสของทีมที่หน้าสนามเอติฮัด สเตเดียม เพื่อหวังจะทำให้ได้เท่ากับที่ลิเวอร์พูล สร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ในช่วงก่อนเกมนัดสำคัญ แต่ปรากฏว่าแฟนบอลนั้นมาจำนวนไม่มาก โดยไม่ต้องถามถึงเรื่องของการสร้างบรรยากาศที่ฮึกเหิมที่แตกต่างกันราวกับคนละโลก

 

ขณะที่เรื่องราวการคว้าแชมป์ของพวกเขาถูกนำเสนออย่างจืดชืดแตกต่างจากลิเวอร์พูล ที่ต่อให้ล้มเหลวไม่เป็นท่าในท้ายที่สุด ก็มีเรื่องราวทุกแง่ทุกมุมที่สื่อและแฟนบอลพร้อมพูดถึงตลอดเวลา

 

ราวกับสมบัติล้ำค่าที่สุดของลิเวอร์พูลที่พวกเขามีและรักษาเอาไว้ได้คือ Heritage หรือมรดกทางเกมลูกหนังที่ประเมินค่าไม่ได้ และเป็นสิ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถจะหาซื้อมาครอบครองได้ไม่ว่าจะใช้เงินมากมายมหาศาลเท่าไรก็ตาม

 

ซิตี้อาจจะทำได้ในอนาคตหากยังประสบความสำเร็จแบบนี้ แต่ไม่ใช่ในระยะเวลาแค่ปี สองปี หรือสิบปีนี้ครับ

 

เชื่อกันว่าระยะเวลานั้นอาจยาวนานมากกว่าหรืออย่างน้อยเท่ากับ 1 รุ่นอายุคน

 

 

เขียนถึงตรงนี้ ผมอดคิดถึงเรื่องราวในวันเก่าที่มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง กับความไม่ถูกกันระหว่างลิเวอร์พูลกับเชลซี เมื่อช่วง 13-14 ปีก่อน ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างที่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน

 

ทีมหนึ่งเป็นมหาอำนาจเก่า อีกทีมก็หวังผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่

 

ทีมหนึ่งอาศัยประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าเก่าๆ อีกทีมอาศัยคว้าถ้วยรางวัลไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างเรื่องราวใหม่ๆ

 

ในยุคนั้นลิเวอร์พูลถีบตัวเองขึ้นมาขับเคี่ยวกับเชลซีได้อย่างน่าดูชม และมีช่วงระยะเวลาหนึ่งประมาณ 3 ปี ที่ทั้งสองทีมต้องปะทะกันในสนามบ่อยมาก (ตามปากคำของเจมี คาร์ราเกอร์ ใน 3 ปีนั้น ทั้งสองทีมเจอกันทั้งหมด 16 ครั้ง!) และทุกเกมเดือดหมด

 

คาร์ราเกอร์บอกว่า ในช่วงเวลานั้น เชลซีคือศัตรูหมายเลข 1 และการเจอกับคู่แข่งจากลอนดอนทีมนี้ปลุกไฟในตัวให้ร้อนแรงยิ่งกว่าการได้เจอกับ 2 คู่ปรับตามธรรมชาติอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน เสียอีก

 

อย่างไรก็ดี สำหรับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อุณหภูมิของความเกลียดชังยังไม่สูงถึงระดับนั้น

 

ส่วนสำคัญเป็นเพราะ 2 ผู้นำของทีมอย่าง เจอร์เกน คลอปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ได้มีอะไรหมางใจกันมาก่อน ไม่ได้ชิงดีชิงเด่นกันแบบไม่มีใครยอมใครเหมือนคู่ของ ราฟาเอล เบนิเตซ กับ โฆเซ มูรินโญ ในทางตรงกันข้าม ต่างฝ่ายต่างชื่นชมอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยด้วยซ้ำไป

 

อารมณ์จึงไม่ได้เป็นทำนองคู่รักคู่แค้น หากแต่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

 

ในภาพยนตร์สารคดี All or Nothing: Manchester City มีช่วงหนึ่งที่เป๊ปพูดถึง 3 ประสานในแดนหน้าของลิเวอร์พูล โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ว่า “พวกเขาทำให้ผมกลัว พวกเขาอันตราย”

 

ขณะที่คลอปป์นั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังจบเกมที่พบกันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็ยกย่องทีมของเป๊ปว่าเป็น ‘ทีมที่ดีที่สุดในโลก’

 

ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้จัดการทีมชาวเยอรมันก็กล่าวเปรียบเทียบว่า ลิเวอร์พูลของเขาเป็นเหมือน ร็อกกี้ บัลบัว ตัวละครเอกในภาพยนตร์มวยอมตะ ‘Rocky’ ที่อย่างไรก็เป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเหมือน อิวาน ดราโก โคตรมวยคู่ปรับของร็อกกี้

 

แต่ถึงจะไม่ได้จงเกลียดจงชัง ก็ไม่ได้แปลว่าทั้งสองฝ่ายสองฝั่งจะไม่รู้สึกอะไรต่อกันเลย

 

ในทางตรงกันข้าม เชื่อกันว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ถูกฝังเอาไว้ในส่วนลึกของความรู้สึกแล้ว

 

ยิ่งขับเคี่ยวกันรุนแรงมากเท่าไร ความเป็นปรปักษ์นั้นจะยิ่งทำให้เมล็ดพันธุ์นั้นผลิกิ่งก้านใบและลำต้นที่สูงใหญ่ขึ้น

 

โดยเฉพาะในปีนี้ที่ฝั่งลิเวอร์พูล ‘เชื่อ’ ว่าพวกเขามีโอกาสจะแซงหน้ามหาอำนาจจากเมืองแมนเชสเตอร์ได้

 

การพบกันของทั้งสองในคืนวันอาทิตย์นี้ (7 ต.ค.) จึงเป็นเกมที่น่าจะเดือด ไม่ว่าจะด้วยเรื่องกลยุทธ์ การต่อสู้กันของสองทีมที่เล่นฟุตบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด และความเร่าร้อนของเหล่ากองเชียร์ทั้งสองทีม

 

ถึงจะไม่ร้อนด้วยพลังแค้นเหมือนแดงเดือด หรือแมนเชสเตอร์ดาร์บี แต่นี่คือ Next Great Rivalry ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่แล้วในวงการฟุตบอลอังกฤษ และมีโอกาสที่จะยืนยงสืบไป

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

FYI
  • นับจาก ชีค มานซูร์ เข้ามาเทกโอเวอร์แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พวกเขาพบกับลิเวอร์พูล 25 ครั้ง และชนะได้เพียงแค่ 6 ครั้ง (รวมการชนะจุดโทษเหนือลิเวอร​์พูลในนัดชิงลีกคัพปี 2016) และในการพบกัน 12 ครั้งหลังสุด ลิเวอร์พูล เอาชนะได้ถึง 8 ครั้ง
  • สถิติของ เจอร์เกน คลอปป์ ในการพบกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา พบกัน 14 ครั้ง คลอปป์ชนะถึง 7 ที่เหลือเสมอ 2 และแพ้ 5 ซึ่งคาร์ราเกอร์ชี้ว่า เป็นเพราะคลอปป์ไม่เกรงกลัวที่จะสั่งให้ลูกทีมบุกใส่ทีมของเป๊ป
  • ในปี 2012 ลิเวอร์พูล ‘ดูด’ 2 เจ้าหน้าที่คนสำคัญในฝ่ายจัดหานักฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือ เดฟ ฟาลโลว์ และ แบร์รี ฮันต์ส และดึงอีก 3 แมวมองมาจากเอติฮัดด้วย (มีอีก 2 คนที่ได้รับการทาบทามแล้วแต่ถูกปฏิเสธ)
  • ในปี 2015 ราฮีม สเตอร์ลิง ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 49 ล้านปอนด์ สวนทางกับ เจมส์ มิลเนอร์ ที่ย้ายมาลิเวอร์พูลแบบไม่มีค่าตัว
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising