‘หลิวจงอี้’ กำลังครองหน้าสื่อไทยในตอนนี้ เพราะเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนจากจีน แต่เขายังได้ชื่อว่าเป็น ‘มือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ เพราะการเดินทางมายังไทยและเมียนมาแค่ครั้งแรก ก็ทำให้ชายแดนสีเทาไม่อาจรุ่งโรจน์ได้เหมือนเคย
ส่วนการมาเยือนชายแดนสีเทาไทย-เมียนมา อีกครั้งของ ‘หลิวจงอี้’ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ไทม์ไลน์ภารกิจของเขาเป็นอย่างไร และเขาปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างไร
ไทม์ไลน์ภารกิจ ‘หลิวจงอี้’
ภารกิจเริ่มแรกของ ‘หลิวจงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่เขาเดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นผลมาจากกรณี ‘ซิงซิง’ ดาราจีน ที่ถูกหลอกพาตัวไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดีโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน แต่สุดท้ายด้วยแรงกดดันจากจีนก็สามารถช่วยเหลือดาราหนุ่มได้สำเร็จ
หลิวจงอี้เริ่มสำรวจพื้นที่ชายแดนฝั่งไทยบริเวณริมแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็น ‘ชเวโก๊กโก่’ และ ‘เคเคพาร์ก’ เมืองสแกมเมอร์ตรงข้ามแม่สอดได้
นับตั้งแต่นั้นภาพของ ‘หลิวจงอี้’ ก็ปรากฏทั้งในหน้าสื่อไทยและเอเชียหลายต่อหลายครั้ง หลิวถูกจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะเป็นภาพที่คนไทยอาจไม่ค่อยได้เห็นมากนักในบริบทของข้าราชการไทยที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆ สื่อไม่ต้องมาตั้งไมค์สัมภาษณ์ สิ่งที่เราได้เห็นคือหลิวเดินเกมเร็ว ลงพื้นที่จริง และสั่งการอย่างเด็ดขาด
ซึ่งผลลัพธ์นั้นก็เป็นที่ประจักษ์ เพราะนับตั้งแต่เขาเคลื่อนไหว เข้าหารือกับรัฐบาลไทยถึงมาตรการกวาดล้างและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียวดีประเทศเมียนมาติดชายแดนไทยก็มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
4 ประเด็นสำคัญ ‘หลิวจงอี้’ เสนอไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์เฟสแรก
- ขอทางการไทยตัดไฟฟ้า ตัดน้ำประปา และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมานำไปใช้
- ขอให้ทางการไทยเจรจากับชนกลุ่มน้อยที่ปกครองบริเวณชายแดนเมียนมา ปล่อยตัวชาวจีนที่ถูกหลอกไปทำงานกลับมาไทย ซึ่งจีนเชื่อว่ามีประมาณ 3,000-5,000 คน
- ตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างไทย-จีน ที่บริเวณชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
- ขอให้จับกุมชาวจีน ซึ่งพบข้อมูลว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บริเวณชายแดนประเทศเมียนมา ซึ่งทางการจีนเชื่อว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 50,000 คน
4 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้เข้าพบกับ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากที่วันนั้นช่วงเช้า ไทยเพิ่งมีคำสั่งตัดการจ่ายไฟฟ้าให้กับเมืองสแกมเมอร์ที่ชายแดน
5 กุมภาพันธ์ 2568 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตัดไฟชายแดนไทย-เมียนมา รวม 5 จุด
6-8 กุมภาพันธ์ 2568 นายกรัฐมนตรีและคณะเยือนจีน พบ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีข้อสรุปในการสนับสนุนแก้ปัญหาขบวนการลวงออนไลน์แก๊งคอลเซ็นเตอร์
6 กุมภาพันธ์ 2568 ภูมิธรรมรับตัวชาวต่างชาติ 61 คน ที่ทาง BGF ส่งกลับมาฝั่งไทย
11 กุมภาพันธ์ 2568 พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมออกหมายจับ พ.อ. หม่อง ชิต ตู่, พ.ท. โมเต โธน และ พ.ต. ทิน วิน ในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์คอลเซ็นเตอร์
12 กุมภาพันธ์ 2568 ภูมิธรรมลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่จังหวัดสระแก้ว ผุดไอเดียสร้างรั้วกั้นด่านชายแดนในพื้นที่ทับซ้อน ควบคุมการเข้า-ออกป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และในวันเดียวกันมีการปล่อยตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา 261 คน
16 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้เดินทางมาไทยอีกครั้ง รอบนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการตรวจการบ้าน และเก็บงานจากที่เสนอรัฐบาลไทยไป เมื่อเขาเดินทางมาถึงประเทศไทยก็ตรงไปแม่สอดทันที เพื่อตรวจดูสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ซึ่งเป็นจุดที่จะรับตัวชาวต่างชาติจากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา
ซึ่งกลุ่มคนที่ถูกปล่อยกลับมามีบางส่วนเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งในจำนวนนั้นมีชาวจีนอยู่ด้วย และล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF ในประเทศเมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่างๆ ในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี สามารถรวบรวมคนได้ประมาณ 2,000 คน ครึ่งหนึ่งเป็นชาวจีน
ต่อมาหลิวจงอี้ก็ข้ามไปฝั่งเมียนมา และเข้าหารือกับรัฐมนตรีมหาดไทยของเมียนมาทันที เพื่อติดตามมาตรการปราบจีนเทา
17 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมา ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลเมียนมา ตรวจเยี่ยมชาวต่างชาติที่ทางกองกำลัง BGF และตำรวจเมียนมา ร่วมกันช่วยเหลือออกจากเมืองสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี และนำมารวมกันที่ศูนย์พักคอยที่ศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัยของทหาร BGF ซึ่งมีประมาณกว่า 300 คน
19 กุมภาพันธ์ 2568 หลิวจงอี้ร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยขอให้ไทยช่วยอำนวยความสะดวกในการขนย้ายชาวจีนตั้งแต่ชายแดนถึงสนามบิน ขณะที่ขั้นตอนของการตรวจสอบนั้นจีนจะดำเนินการจากฝั่งเมียนมาเอง
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าหลิวจงอี้มีกำหนดการพบกับ พ.อ. หม่อง ชิต ตู่ เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) หรือผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงแห่งชาติ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีอำนาจควบคุมพื้นที่ชายแดนแห่งนี้
ในขณะเดียวกัน พล.อ. หม่อง ชิต ตู่ ได้ออกมาแถลงข่าวเปิดใจถึงเรื่องที่จะถูกทางการไทยออกหมายจับว่า ตนทำผิดกฎหมายไทยด้วยข้อกล่าวหาอะไร หรือละเมิดประเทศไทยและละเมิดประชาชนคนไทยเรื่องอะไร ที่ผ่านมาตนอยู่ชายแดนมา 30 กว่าปีเหมือนพี่น้องกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ไทยต้องการอะไรก็ให้ความร่วมมือตลอด
ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้เสียใดๆ จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นแค่ผู้ให้เช่าที่ดินเท่านั้น
พ.อ. หม่อง ชิต ตู่ ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ในเมียวดี ฝ่าย BGF ได้กวาดล้างตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจะทำเรื่อยๆ ให้สิ้นซากภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูเหมือนจะค่อยๆ คลี่คลายลง แต่ไทยอาจไม่ได้เครดิตไปทั้งหมด เพราะผลงานในครั้งนี้ต้องหารให้จีนด้วย
โดยเฉพาะหลิวจงอี้ สื่อจีนรายงานว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนคดีอาญาระดับชาติที่อยู่ในแนวหน้ากับการต่อสู้กับอาชญากรรมของจีน
จนเมื่อ 12 เมษายน 2567 ผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมขึ้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการชื่นชมความไวและเด็ดขาดของหลิวจงอี้ ก็มีความเห็นจาก รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา มองว่าการเดินทางมาของหลิวจงอี้ ถือเป็นการเดินทางมาเยือนในลักษณะที่ถี่เกินไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนเริ่มจะเข้ามาชี้นำ ควบคุมสั่งการ และมีบทบาทอย่างแข็งแรงมากขึ้น พร้อมกับแนะว่ารัฐบาลไทยจะต้องเพิ่มความจริงจัง ให้มั่นใจว่าจัดการปัญหาในภูมิภาคตนเองได้ ป้องกันจีนชี้นำ