ใครๆ ก็ต้องเคยเจอจังหวะที่คนสำคัญในชีวิตกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ธรรมชาติของเราคือการพุ่งเข้าไปช่วย อยากแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่บ่อยครั้งที่ความห่วงใยเหล่านี้กลับทำให้เราละเลยการดูแลใจตัวเอง จุดสำคัญจึงอยู่ที่การหาจุดสมดุลระหว่างการเป็นที่พึ่งให้คนอื่นและการรักษาพลังงานของตัวเอง
หลังจากที่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราอาจเริ่มจากการเป็นผู้ฟังที่ดี บางทีแค่มีคนรับฟังโดยไม่ตัดสินก็มีค่ามากกว่าคำแนะนำมากมาย ถ้ารู้สึกว่าฟังแล้วเครียด ใจเราเองเริ่มแบกรับความรู้สึกหนักเกินไป ลองหยุดและหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามตัวเองว่าตอนนี้มีอะไรที่เราจัดการได้จริงๆ และอะไรที่เราต้องปล่อยวางบ้าง
ทุกเรื่องราวที่เราได้รับรู้จากคนรอบข้างล้วนเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับชีวิตเรา บางเรื่องสอนให้เราเข้าใจโลกและชีวิตในมุมที่ลึกซึ้งขึ้น (โดยที่เราไม่ต้องเผชิญด้วยตนเอง) เราควรรู้จักเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีสติมากขึ้น คล้ายกับที่เรามักได้ยินลูกเรือบนเครื่องบินเตือนอยู่เสมอว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หน้ากากออกซิเจนจะหล่นลงมา เราต้องสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน แล้วค่อยไปช่วยคนข้างๆ
เรื่องแย่ๆ ที่เกิดกับคนอื่นหรือแม้ว่าเกิดกับตัวเราเองมักจะสร้างบทเรียนสอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าเราจะวางแผนดีแค่ไหน บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง สิ่งสำคัญไม่ใช่การพยายามควบคุมทุกอย่าง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะปรับตัวและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความสามารถในการยืดหยุ่นและปรับตัวนี้จะช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลายากๆ ไปได้