สิ่งหนึ่งที่วัยทำงานโดยเฉพาะชาวออฟฟิศต้องเผชิญกันแทบทุกคน นั่นคือ ‘ออฟฟิศซินโดรม’ ซึ่งหลายๆ คนเข้าใจผิดว่าชื่อนี้หมายถึงภาวะปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง เท่านั้น ความจริงแล้วหากแปลตามคำศัพท์ คำว่า ‘ซินโดรม’ หมายความว่า ‘กลุ่มอาการ’ ซึ่งทำให้คำว่าออฟฟิศซินโดรมนั้นหมายความถึงหลายๆ อาการจากการทำงานออฟฟิศ ทั้งนี้งานออฟฟิศก็คือการทำงานที่นั่งโต๊ะเป็นเวลานานเพื่อเขียนหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน พอปรับให้เข้ากับยุคสมัยนี้อาจรวมไปถึงการทำงานผ่านหน้าจออื่นๆ เช่น แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
หนึ่งในอาการที่พบได้ในออฟฟิศซินโดรมก็คืออาการทางตา ไม่ว่าจะเป็นตามองไม่ชัด ตาพร่ามัว ปวดตา เป็นต้น จึงมีการพูดถึงอาการทางตาที่เกิดจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ว่า ‘Computer Vision Syndrome’ ซึ่งสามารถพบได้มากพอๆ กับอาการปวด คอ บ่า ไหล่ และหลัง แต่อาจไม่ได้รับการประเมินรักษามากนัก
Computer Vision Syndrome คืออะไร
กลุ่มอาการทางตาของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ โดยที่เกี่ยวข้องกับการ ‘มองใกล้’ หน้าจอมากเกินปกติ เราพบ CVS มากขึ้นในช่วงหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ที่การทำงานถูกปรับให้มีการใช้งานเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยที่อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังพบได้บ่อยในคนที่มีปัญหาด้านสายตา และต้องใช้อุปกรณ์ช่วย หรือใส่แว่นตากับคอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย ทั้งนี้ CVS เป็นกลุ่มอาการที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายของดวงตาแบบถาวร อาการจะเป็นๆ หายๆ ได้ แต่ก็มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของชาวออฟฟิศได้เป็นอย่างมาก
อาการของ Computer Vision Syndrome
- ปวดตา
- ตาแดง
- ตาแห้ง
- น้ำตาไหล
- คันตา
- หนังตาหนัก ต้องฝืนลืมตา
- รู้สึกเหมือนการมองเห็นแย่ลง
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา
- เห็นภาพซ้อน ภาพไม่คมชัด หรือภาพเบลอ
- มีอาการไม่สดชื่น ปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง ร่วมด้วย
พบว่าหากมีกลุ่มอาการ CVS จะมีมากกว่า 1 อาการจากข้างต้นมากกว่าที่จะพบเพียงอาการเดียวโดดๆ และมักจะดีขึ้นเมื่อได้พักสายตา หรือเพียงแค่นอนหลับสักตื่นก็เพียงพอ
การรักษาและการป้องกัน
เราสามารถจัดการกับอาการ และหายจาก CVS ได้ด้วยตนเอง โดยลดเวลาใช้งานหน้าจอต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ แต่หากไม่สามารถทำได้ ให้ลองปรับพฤติกรรมการใช้หน้าจอ ดังนี้
- พักสายตาจากการจ้องหน้าจอทุก 20-30 นาที เป็นประจำ โดยไปทำกิจกรรมอื่นๆ อย่างน้อย 15 นาทีขึ้นไป หรือหากไม่สามารถลุกจากโต๊ะทำงานได้ ให้ลองปรับการใช้สายตา จากเดิมที่มองใกล้เพียงอย่างเดียว ให้มองไกล ปรับโฟกัสการมองไปที่จุดอื่นๆ หรือกลอกตาเคลื่อนไหวเพื่อให้ตาผ่อนคลายได้มากขึ้น โดยทำร่วมกับการยืดเส้นยืดสาย ขยับกล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่ ไปพร้อมๆ กัน
- ใช้งานหน้าจอในที่ที่มีแสงสว่างที่เหมาะสม ไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป
- จัดให้ระยะห่างระหว่างตากับหน้าจออยู่ที่ 20-26 นิ้ว
- ลดความจ้าของหน้าจอ หรือปรับแสงและสีให้ไม่จ้าเกินไปจนทำให้แสบตา รวมถึงปรับความคมชัดและขนาดของเส้นอักษรหรือรูปภาพในหน้าจอไม่ให้เบลอจนทำให้ต้องเพ่งไปที่หน้าจอมากขึ้น
- อาจใช้ฟิล์มหรือกระจกกรองแสงหน้าจอ หรือแว่นตากรองแสง ให้แสงสีฟ้ามีความจ้าลดลง
- จัดโต๊ะทำงานตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ โดยเฉพาะให้ศีรษะไม่ต้องก้มมองหน้าจอมากเกินไป แนะนำจัดให้กึ่งกลางของหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 4-8 นิ้ว และหากมีหลายหน้าจอ หรือมีเอกสารอื่นๆ ที่ทำให้ต้องปรับโฟกัสการมองเปลี่ยนไปมา แนะนำให้หาที่ตั้งสิ่งเหล่านี้อยู่ใกล้และระดับเดียวกับหน้าจอให้มากที่สุด
- ปรับสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้ไม่มีฝุ่น ลมจ่อหน้า หรือแสงสะท้อนจากกระจกมาที่ลานสายตา ขณะใช้งานหน้าจอ เพื่อลดอาการเคืองตาจากสาเหตุอื่น
- หากมีปัญหาเรื่องค่าสายตาอยู่เดิม ก็ควรได้รับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ และใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับสายตาเสมอ
ทั้งนี้ CVS นั้นเป็นกลุ่มอาการที่สามารถดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ และไม่ก่อให้เกิดการเสียหายถาวรของดวงตา แต่หากมีอาการมาก หรือไม่ดีขึ้นหลังจากปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็ควรไปปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อประเมินว่ามีโรคอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายกับดวงตาในระยะยาว เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
สรุปแล้ว CVS เป็นกลุ่มอาการที่พบในคนที่ทำงานหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เป็นอันตรายถาวรต่อดวงตา แต่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง โดยที่เราสามารถป้องกันกลุ่มอาการ CVS ได้ด้วยตนเอง แต่หากเริ่มมีอาการแล้ว และเริ่มจัดการปรับพฤติกรรมด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น ก็ควรพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาต่อไป