ใครที่เคยเล่นโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะแพลตฟอร์มไหนก็แล้วแต่ น่าจะเคยเห็นงานอาร์ตที่เป็นลายมือเขียนประโยคคมๆ บางประโยคเป็นการให้กำลังใจ บางประโยคเป็นคำพูดที่ตรงใจเราเหลือเกิน ลองสังเกตดีๆ ใต้ประโยคคมๆ เหล่านั้นถ้ามีลายเซ็นเขียนว่า ‘teayii’ เอาไว้ นั่นเป็นผลงานของ เตยยี่ หรือ เตย-ประภัสสร กาญจนสูตร ศิลปินผู้สามารถเขียนประโยคให้กลายเป็นเพื่อนของความรู้สึกได้
แต่เอาจริงๆ เชื่อว่าหลายคนยังคงมีคำถามว่า แล้วเตยยี่เป็นใคร ทำอาชีพอะไร ทำไมถึงสามารถคิดคำคมหรือประโยคที่โดนใจออกมาได้เยอะขนาดนี้ Passion Calling ครั้งนี้เราจะมาทำความรู้จักเขากัน
เตยยี่คือใคร?
เตยยี่: ในตอนเด็กเราอยากเป็นผู้กำกับการแสดง แต่ในตอนที่เรียนจบเรามีอีกความฝันที่อยากจะลองทำ นั่นคือการลองทำงานด้านโปรดิวเซอร์ทีวี เราตั้งเป้าไว้ว่ากว่าจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นโปรดิวเซอร์คงต้องอายุประมาณ 32 ปี แต่ความเป็นจริงพอเรียนจบแล้วไปสมัครงานเราดันได้เป็นโปรดิวเซอร์เลย นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกว่าทำไมระหว่างทางมันขาดหายไป สิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้มันเข้ามาถึงเร็วแบบไม่ได้คาดคิด แล้วจะไปทางไหนต่อล่ะ? เมื่อรู้สึกอย่างนั้นแล้วเราเลยตัดสินใจลาออกจากงานแล้วกลับมาทำตามความฝันแรกที่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นผู้กำกับและอาจารย์สอนการแสดง นี่เลยเป็นจุดกำเนิดของ Rhythm Of Arts Creative Space อาชีพต่อมาที่ทำให้คนรู้จักเตยยี่มากขึ้น
จริงๆ แล้ว Rhythm Of Arts Creative Space คือโรงเรียนสอนอะไร
เตยยี่: ที่นี่เป็นเหมือนพื้นที่ให้เด็กได้มาสนุก มาเรียนรู้ความชอบของตัวเองว่าเราชอบทำอะไร อาชีพไหนที่โตขึ้นเราอยากจะทำมัน ผ่านศาสตร์การแสดง หลักการคือเหมือนได้ลองสวมบทบาทเป็นแต่ละอาชีพ อาชีพนี้มีหน้าที่อะไร ต้องทำอะไร เช่น เป็นทันตแพทย์ เด็กจะได้ลองดูเลยว่าพอต้องเจอคนไข้จะสื่อสารอย่างไร วางแผนอย่างไร หรืออาชีพแฟชั่นดีไซเนอร์ ทุกคนก็จะได้เลกเชอร์พร้อมกับได้ตัดชุดและเดินแบบเอง การได้ลองทำอะไรแบบนี้มันทำให้เด็กสนุกและได้ตัดสินใจ ถ้าชอบก็จะแนะนำว่าควรไปต่อด้านนี้ยังไง แต่ถ้าไม่ชอบไม่ต้องฝืน แค่เปลี่ยนใหม่ไปลองอย่างอื่น คนเราควรจะ Respect ความฝันของตัวเอง
“สุดท้ายแล้วการศึกษาคนชอบรู้สึกว่าเมื่อเราพูดว่าไม่ชอบเรียนมันผิดเลยทันที จริงๆ เรามีสิทธิ์ไม่ชอบได้ เรามีสิทธิ์ค้นหาและประกาศได้ว่าเราชอบอะไร อยากทำอะไร มันคือการ Respect ความฝัน”
ในช่วงแรกที่เริ่มต้นทำโรงเรียนคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าที่นี่คืออะไร สอนอะไร เราต้องมานั่งอธิบายให้แต่ละคนฟัง แต่สิ่งที่เป็นหลักของโรงเรียนนี้คือการเป็นพื้นที่ให้เด็กกล้าที่จะมีความฝัน อยากลองเป็นอะไรก็ได้ และในบางวันเราก็ไม่จำเป็นต้องมีความฝันก็ได้ถ้าวันนั้นมันไม่สนุก
“เราสามารถเป็นมนุษย์ที่มีความฝันและไม่อยากฝันได้ ไม่จำเป็นต้องมีความฝันตลอดเวลา ถ้าวันนี้ไม่สนุกไม่ต้องฝันก็ได้”
หลังจากที่ได้เปิดโรงเรียนและได้ลองทำหลายๆ อาชีพแล้ว งานเขียนแบบ teayii มันมาได้ยังไง
เตยยี่: หลังจากที่ได้ลองทำความฝันหลายๆ ด้านแล้ว รวมไปถึงการได้สอนการแสดง ตอนที่สอนก็จะมีขั้นตอนการเยียวยาจิตใจ การเข้าใจความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ความรู้ในด้านนี้มันได้มาเริ่มใช้อีกครั้งในวันที่เกิดอุบัติเหตุทางความรู้สึก เรารู้สึกเศร้ามาก และเราก็รู้ดีว่าทางออกเดียวที่จะผ่านความรู้สึกนี้ได้คือการเป็นเพื่อนกับตัวเอง เลยตัดสินใจเขียนสิ่งที่อยู่ในใจ อยู่ในความรู้สึกออกมา แล้วลองเปิดเพจเพื่อจะได้มีคนมาอยู่เพื่อนเราแล้วเห็นความรู้สึกของเรา ในช่วงแรกคิดแค่นั้น
แต่พอเริ่มเขียนไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกับความสุข โอบกอดกับความทุกข์ เรียนรู้กับความเจ็บปวดที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งที่เราคิดได้ในวันที่เราทุกข์ แต่ในโลกนี้มีอีกหลายคนที่ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่เหลือใคร มันเหมือนกับว่าไม่มีเพื่อนมาคอยฟังความรู้สึก เราเลยคิดแค่ข้อเดียวเลยคือ ‘เราอยากให้ teayii เป็นเพื่อนความรู้สึกของคุณ’ มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์สังคม ไม่ว่าคุณจะไปเจออะไรมา มันจะเลวร้ายแค่ไหน สุดท้ายเราก็คงต้องการแค่พื้นที่ที่คอยรับฟังและไม่ตัดสิน มันเลยเกิดประโยคที่ว่า ‘ขอให้คุณเจอที่ปลอดภัยในหัวใจ’ ขึ้นมาในงานหลายๆ งาน
“ขอให้คุณได้เจอพื้นที่ปลอดภัยในหัวใจ พี่เข้าใจดีว่าวันที่เราไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในหัวใจมันเป็นวันที่ข้างนอกนั้นหนาวเหน็บมาก”
ดูเหมือนว่าเตยยี่จะเป็นคนที่รีเช็กความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ช่วยบอกข้อดีของมันหน่อยได้ไหม
เตยยี่: การรีเช็กความรู้สึกตัวเองเริ่มต้นจากการยอมรับมันจริงๆ เช่น ยอมรับว่าวันนี้มันแย่ วันนี้มันเศร้า ถ้าเรายอมรับมันได้สุดท้ายเราจะค่อยๆ เจอทางออกจากปัญหานั้น
จริงๆ เราเคยเจอช่วงเวลาที่แย่มากๆ แต่เราค่อยๆ ยอมรับมันว่าเรารู้สึกแย่ อย่ากลัวที่จะเรียกหาคนรอบข้าง จะโทรหาเพื่อนก็ได้ หรือจะเสิร์ช Google ก็ได้ ตอนนั้นเราไปเจอคำหนึ่งคือ ‘ไม่อยากเห็นตัวเองในวันพรุ่งนี้เหรอ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้’ เราเลยยอมรับว่าวันนี้เราไม่ไหว แล้วโทรหาเพื่อนเพื่อขอความช่วยเหลือ สุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้อีกว่าอย่ารีบที่จะเข้มแข็ง ยอมรับมัน เรียนรู้จากมันแล้วค่อยๆ เติบโต
“ถ้าวันนี้เรารู้สึกไม่อยากมีลมหายใจแล้ว ไม่อยากเห็นตัวเองในวันพรุ่งนี้เหรอ พรุ่งนี้คุณอาจจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ได้”
ช่วงที่ผ่านมาเร็วๆ นี้เราได้ทดลองไปวิปัสสนา ก็ได้ค้นพบอะไรหลายอย่างเลย หนึ่งในนั้นคือได้เข้าใจถึงความรู้สึกทุกข์ มันเหมือนกับเราอนุญาตให้คนอื่นเอาเท้ามาเหยียบที่ใจเรา มันรู้สึกแน่น อึดอัด วิธีแก้คือแค่เราเอาเท้าเหล่านั้นออก แล้วเราจะได้เห็นใจของเราที่มันมีคุณค่า สุดท้ายแล้วเราแค่โอบกอดมันเอาไว้ ดูแลมันให้ดี เหมือนกับคำที่เราชอบใช้คือ ‘ไปตั้งไกลสุดท้ายกลับมาที่ใจ’
“ไปตั้งไกลสุดท้ายกลับมาที่ใจ ใจของเราคือของเรา ไม่ต้องให้ใครมาโอบกอด เพราะคนที่โอบกอดได้ดีที่สุดคือตัวเราเองและอ้อมกอดของผู้มีพระคุณ”
วันแรกที่เริ่มทำ teayii กับวันนี้นั้นเติบโตมาเป็นอย่างไรบ้าง
เตยยี่: ช่วงแรกๆ ที่ได้เริ่มทำเราฝันอยากมีรูปปั้นน่ารักๆ แล้วให้คนมาหย่อนข้อความไว้ วันนี้ก็มีแล้ว ฝันอยากมีนิทรรศการที่มีคนมารวมกันเยอะๆ ซึ่งตอนนี้มีแล้ว เรากำลังมองไปข้างหน้าว่าต่อไปอยากทำอะไรที่สนุก กับทั้งตัวเองและโลกนี้
เคยรู้สึกทุกข์ใจกับความฝันไหม
เตยยี่: ไม่มีนะ คนบางคนทุกข์ใจเพราะเขาวิ่งตามความฝัน แต่สำหรับเรานั้นเรามองอะไรทำได้เราทำ อะไรทำไม่ได้เรารอ เราเลยเชื่อในจังหวะชีวิตมาก แต่ละช่วงชีวิต รายละเอียดมันจะแตกต่างกัน บางช่วงได้ทำอันนี้ บางช่วงได้ทำอีกอย่างหนึ่ง เราเลยตัดสินใจจะใช้ชีวิตแบบที่เรามีความสุขมากกว่า
อยากบอกอะไรกับงาน teayii
เตยยี่: มีช่วงหนึ่งเคยคิดจะเลิกทำเพราะรู้สึกว่าคนวิจารณ์เยอะมาก แต่ก็กลับมาบอกตัวเองว่าในเมื่ออยากทำงานแนวนี้ต้องยอมรับเสียงที่มาจากด้านบวกและด้านลบให้ได้ แต่คนที่ไม่ชอบงานเราก็แค่บล็อกเราไปเลย ไปทำอย่างอื่น! (หัวเราะ)
คิดอย่างไรกับสมัยนี้ที่คนอยากมีสองอาชีพ
เตยยี่: ทำเลย! ถ้าทำอีกอาชีพแล้วรู้สึกว่าเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ ทำไปเถอะ แต่อย่าให้มันเป็นแรงกดดันเรา เราควรได้ใช้ชีวิต เราควรทำอะไรก็ได้ที่ไม่เบียดเบียนใคร และต้องไม่เบียดเบียนความรู้สึกของเราอีก งานที่สองอาจจะเริ่มจากความชอบเล็กๆ ของเราก็ได้ บางทีเก็บความฝันนั้นไว้เป็นความฝันสำรอง ค่อยหยิบมันมาใช้ แต่สิ่งสำคัญคือควรจะเป็นความสุขของเรา
“ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข ไม่เบียดเบียนใคร ที่สำคัญไม่เบียดเบียนความเป็นมนุษย์และความรู้สึกของตัวเอง”