‘INDDEE (อินดี)’ เป็นร้านอาหารอินเดียที่เราเฝ้ารอมานานว่าเมื่อไรจะเปิดให้ยลโฉมเสียที เพราะร้านค่อยๆ ปล่อยคอนเซปต์มาให้รู้ทีละนิดจนอดใจรอชิมแทบไม่ไหว แต่ในที่สุดตอนนี้ร้านเปิดบริการเต็มรูปแบบแล้ว มาพร้อมการตกแต่ง บรรยากาศ รสชาติ และทีมร้านอาหารที่สัมผัสได้ว่าเตรียมตัวมาอย่างดี
The Vibe
INDDEE อยู่ในซอยหลังสวน ด้านในบ้านเก่าร้อยปีที่นำมารีโนเวตใหม่ให้กลายเป็นร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งกึ่งกลาสเฮาส์ ร้านล้อมรอบด้วยกระจกตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงหลังคาส่วนหนึ่งที่โปร่งใส ทำให้นั่งรับประทานแล้วรู้สึกโปร่งสบาย มีทั้งแสงธรรมชาติและวิวตอนกลางคืน ในขณะที่บริเวณชั้นล่างจะเป็นวิวสวนและหมอก ชวนรู้สึกแฟนตาซีนิดๆ
ร้านตั้งใจใช้ความโค้งมนในทุกๆ รายละเอียด ตั้งแต่มุมโต๊ะ เก้าอี้ เคาน์เตอร์บาร์ กรอบประตูและหน้าต่าง ไปจนถึงเพดาน ซึ่งผู้ออกแบบคือ Matteo Messervy นักออกแบบแสงชาวฝรั่งเศสที่ควบตำแหน่งอินทีเรียร์ให้ร้านนี้ด้วย โดยเขาดึงสัญลักษณ์ของ INDDEE มาใช้เป็นคอนเซปต์
ส่วนพื้นที่รับประทานอาหารมีหลายบรรยากาศ ตั้งแต่เคาน์เตอร์บาร์โซนครัวร้อน ให้นั่งกินแบบใกล้ชิดเชฟสุดๆ เคาน์เตอร์บาร์ครัวเย็นที่ดูเป็นส่วนตัว และพื้นที่ชั้นบนเป็นโต๊ะอาหารดูทางการขึ้นมาหน่อย
เราว่าร้านตกแต่งได้น่าตื่นตามาก ทั้งใช้พื้นที่คุ้มค่า มีห้องเก็บไวน์อีก 2 ห้อง และทุกอย่างเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่สื่อถึง INDDEE
The Taste
เชฟส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย น่าสนใจตรงทุกคนมีพื้นหลังด้านอาหารญี่ปุ่น นำโดย Sachin Poojary เฮดเชฟผู้เคยนำทีมครัวร้านอาหารญี่ปุ่น Wasabi ในเมืองมุมไบบ้านเกิด ซึ่งเป็นร้านของไอรอนเชฟชาวญี่ปุ่นชื่อดัง
“ทีมเชฟของเรามาจากหลายๆ ส่วนของอินเดีย อาหารที่นี่จึงไม่ยึดภาคใดภาคหนึ่ง เพื่อโชว์วัฒนธรรมบ้านเกิดของแต่ละคน โดยใช้แนวคิดแบบญี่ปุ่นเข้ามาผสมด้วย แต่ทั้งหมดยังเป็นอาหารอินเดียอยู่” เชฟ Sachin บอก
เมนูหลักของ INDDEE จึงเสิร์ฟทั้งหมด 7 คอร์ส และมี Add On ให้สั่งเพิ่มได้ เริ่มจาก ‘Oyster (+250 บาท)’ หอยนางรมฝรั่งเศสกับซอส Sol Kadhi เป็นเครื่องดื่มพรีไบโอติกจากเมืองแถบชายทะเล หลังจากนั้นเข้าสู่ของกินเล่น 4 อย่างจาก 4 เมือง เราชอบ ‘Khari Chai’ จากมุมไบ เป็นเมนูที่อินเดียได้รับมาจากเปอร์เซียอีกที เป็นกรวยกรอบๆ ไส้เครื่องเทศ กินคู่ซุปการ์ลิกคอร์นร้อนๆ หยดเลมอนออยล์ และ ‘Mirch Salan’ พริกทอดยัดไส้เครื่องเทศ ข้าวพอง มะขาม ผิวเคลือบเครื่องเทศไฮเดอราบาดี ทั้งหมดกินในหนึ่งคำ
อาหารแต่ละจานเน้นชูวัตถุดิบหลัก เมนูแรก ‘Morel’ นำเห็ดมอเรลจากแคชเมียร์มายัดไส้นมแห้ง (Khoya) และถั่ว ด้านล่างคือแซฟฟรอนปุเลาที่ใช้เห็ดแทนข้าว ต่อด้วย ‘Scallop’ ทาร์ทาร์ที่ไฮไลต์อยู่ตรงซอส Injipuli เพราะเชฟบอกว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนแย่งชิงมากที่สุดเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว และพวกเขาต้องกินอาหารบนใบตองร่วมกัน
‘Cod’ เป็นอีกจานที่เราชอบ เชฟหมักเนื้อปลาชิ้นสวยกับเครื่องเทศก่อนนำไปย่าง ตัดรสด้วยขิงญี่ปุ่นดอง จานนี้หอม ฉ่ำ มีรสชาติ เราได้ลองอีกเมนูจากชายฝั่งด้วย ‘Lobster (+1,490 บาท)’ ข้างๆ เป็นข้าวต้มกับซูกินี จานนี้รสชาติอยู่ที่ล็อบสเตอร์เนื้อเด้ง
เริ่มเข้าสู่เมนคอร์ส เราแนะนำให้สั่ง ‘Bread Basket (+250 บาท)’ ขนมปัง 2 รสชาติมากิน เป็นจาน Add On ที่ห้ามพลาด ทุกคนจะได้หยิบขนมปังกินคู่กับ ‘Quail’ นกกระทาหมักเครื่องเทศกับซอสจูซ์รสเข้มข้น และ ‘Lamb (+490 บาท)’ เนื้อแกะย่างถ่านหมักพริกหลายชนิด
แต่ถ้าใครกลัวอิ่มเกินก็ไปต่อที่เนื้อสัตว์จานถัดไปเลย ‘Chicken’ เราว่าแปลกใหม่ เพราะเป็นไก่ฉีกซอส Khurchan ซึ่งปกติอยู่ในขนมหวาน แต่ทำเป็นอาหารคาว กินคู่สลัดกับนาน
ปิดท้ายด้วย ‘Rose’ โยเกิร์ตอบกับน้ำดอกกุหลาบเชียงใหม่ เป็นการยกระดับขนมหวานอินเดีย Falooda ให้หรูหรา และ ‘Chocolate’ ใช้วัตถุดิบจากตอนใต้ของอินเดีย ตั้งแต่ช็อกโกแลตจากเมือง Pondicherry นำมาผสมกับกาแฟจากเมือง Chikmagalur เสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาชายทะเล Malabari และเกลือจากเมืองท่าเรือ Tuticorin
Good for
ทุกคนอาจรู้สึกว่ามีแต่เครื่องเทศเต็มไปหมด แต่ทีมเชฟตั้งใจว่า “อยากทำอาหารอินเดียในมุมมองใหม่ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและกินได้” พวกเขาจึงค่อยๆ ไล่ระดับรสเครื่องเทศ จนกินจบแล้วเราว่าทุกอย่างกำลังพอดี ไม่เบาหรือรุนแรง เป็นร้านอาหารอินเดียสมัยใหม่ที่น่าจับตามองมากๆ
แล้วพวกเขายังมีไวน์แพริ่งที่น่าสนใจมากเช่นกัน จัดสรรโดย เจย์-ธนากร บอทอร์ฟ ซอมเมอลิเยร์มือดีลำดับต้นๆ ที่เราประทับใจไวน์จากเขาเสมอ โดยที่ INDDEE เขามีไวน์ให้เลือกกว่า 600 เลเบล เน้นประเภทไบโอไดนามิกไวน์ ออร์แกนิกไวน์ และเนเชอรัลไวน์เป็นหลัก (สามารถสั่งได้ทั้งแบบ By Glass หรือแพริ่งทั้งคอร์ส)
INDDEE
Address: ซอยหลังสวน
Open: เปิดทุกวัน เวลา 17.30-23.30 น.
Contact: www.inddeebkk.com
Budget: 7 คอร์ส 3,200++ บาท ไวน์แพริ่ง 2,500-3,200++ บาท (เมนู Add On มีไวน์แพริ่งเฉพาะจานด้วย)
Map: