วันคริสต์มาสมักถูกเล่าเรื่องผ่านแสงไฟ ของขวัญ และเสียงหัวเราะ แต่บางที ช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดของเทศกาลนี้ อาจไม่ใช่การออกไปเติมใจข้างนอกเพียงอย่างเดียวนะ แต่มันสามารถเป็นโอกาสให้เราหันกลับมามองตัวเองและใจดีต่อตัวเองได้ด้วยเหมือนกัน ลองทบทวนดูซิว่าเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เราผ่านอะไรมาบ้าง และยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?
แน่นอนว่าปีที่ผ่านมา ร่างกายของเราแบกรับอะไรไว้มากกว่าที่เราคิด วันที่เหนื่อยจนล้า วันที่นอนน้อยและตื่นมาแทบไม่ไหว วันที่ต้องฝืนลุกไปทำงาน แม้บางวันจะไม่ได้ทำมันอย่างดีที่สุด แต่ร่างกายก็ยังพาเรามาถึงปลายปีนี้ ยังหายใจ ยังเดินต่อ ยังไม่ยอมแพ้ แค่นี้ก็สมควรได้รับคำว่าขอบคุณแล้ว
ลองสำรวจเข้าไปในหัวใจของเราให้ละเอียดขึ้นอีก จะพบว่ามันผ่านทั้งความหวัง ความผิดหวัง ความรัก และการสูญเสีย มีวันที่เข้มแข็ง และมีวันที่อ่อนแอจนไม่อยากอธิบายให้ใครฟัง แต่หัวใจดวงนี้ก็ยังเลือกจะรู้สึก ยังเลือกจะเชื่อ ยังเลือกจะรัก และเลือกที่จะไปต่อ
นี่ไม่ใช่แค่คำหรือคอนเทนต์สวยๆ เพราะในเชิงงานวิจัยก็มีหลักฐานรองรับ งานทบทวนงานวิจัยเชิงระบบและเมตาอะนาลิซิสที่รวบรวมการศึกษาเกี่ยวกับ gratitude interventions จากงานทดลองแบบสุ่ม (randomized clinical trials) พบว่า การฝึกขอบคุณอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเขียน การทบทวนความรู้สึก หรือการพูดกับตัวเอง ช่วยให้สุขภาวะทางใจโดยรวมดีขึ้น และช่วยลดระดับความเครียด ความกังวล และอารมณ์ซึมเศร้า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ฝึก สิ่งนี้สะท้อนว่า การขอบคุณ รวมถึงการขอบคุณตัวเอง ไม่ได้เป็นแค่พิธีกรรมอบอุ่นใจในช่วงเทศกาล แต่เป็นทักษะเล็กๆ ที่เมื่อทำซ้ำอย่างตั้งใจ สามารถส่งผลต่อความรู้สึกภายในของเราได้จริง


