ใครที่อยู่ในแวดวงสายฟิตมานานคงจะรู้ดีว่า #วงการเบเบ้ นั้น เข้าแล้วจะมีอยู่สองอย่าง อยู่ยาวหรือไม่ก็ออกเลย ใช่แล้วเรากำลังพูดถึง เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา
ฟิตเนสอินฟลูเอนเซอร์สาวสวยผู้มีไลฟ์สไตล์ไม่เคยหยุดนิ่ง เราจะเห็นเธอไปวิ่ง ไปเวต ต่อยหมวย เล่นพิลาทิส แต่ที่เห็นบ่อยในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นบทบาทใหม่กับการสอนอย่างเต็มตัวที่ Formalab สตูดิโอออกกำลังกายสวยหรูใจกลางเมือง ณ One Bangkok ที่เธอร่วมก่อตั้งกับเพื่อนคนสนิท ไอเดียร์-สุชาดา แทนทรัพย์
View this post on Instagram
ภาพรวมของเบเบ้ในปัจจุบันทำให้เห็นว่านอกจากที่บทบาทในชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปแล้ว มุมมองที่เธอมีต่อการออกกำลังกายและรูปร่างก็ได้เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรักที่เธอมีต่อตัวเอง ไม่ว่าในวันนี้เธอจะเป็น ‘เบเบ้’ เวอร์ชันใดก็ตาม…
เราเชื่อว่าแนวคิดที่เบเบ้ส่งต่อในวันนี้ จะสร้างพลังบวกและเป็นแรงบันดาลใจอันทรงคุณค่า ที่จะนำพาคุณทุกคนให้ก้าวไปสู่การเป็น ‘Your Best Self’ ได้อย่างแน่นอน
เชื่อว่าใครหลายคนคงจดจำภาพเบเบ้ในเวอร์ชันสาวฟิตสุดสตรองที่ออกกำลังจัดหนักจัดเต็มเสมอ ทุกวันนี้รูทีนการออกกำลังกายของเบเบ้ยังเหมือนเดิมไหม
เบเบ้: เปลี่ยนไปเยอะ คือรู้สึกว่า การออกกำลังกายของเบมันเบาลงเรื่อยๆ เหมือนพยายามหาบาลานซ์เพื่อตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันจะต้องเป็นการ Break the limit ของตัวเองตลอด ต้องทำได้อีก ไปขั้นกว่าเรื่อยๆ แต่พอเริ่มออกไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มหาบาลานซ์ที่เรารู้สึกว่าพอดีมากที่สุด ให้มันยังพอมีเวลาที่เราจะใช้ชีวิตส่วนตัว ไปสังสรรค์ ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง
จนตอนนี้พอเรามาเปิดสตูดิโอแล้วก็สอนด้วย มันทำให้เรามีเวลาออกกำลังกายน้อยลงตามชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงจะต้องออกกำลังกายอยู่ อย่างแต่ก่อนที่ต้องตื่นมาคาร์ดิโอทุกวัน ตอนนี้รูทีนนั้นก็หายไปเพราะหมดแรงแล้ว (หัวเราะ)
แต่ก่อนออกกำลังกายทุกวันเลยไหม
เบเบ้: ทุกวัน คาร์ดิโอยืนพื้นเลย เพราะเป็นคนที่คิดอะไรออกจากการคาร์ดิโอ คือต้องมีการขยับร่างกายเราถึงจะคิดงาน คิดอะไรออก ซึ่งคาร์ดิโอมันก็ไม่ได้หนักไปทุกวันนะคะ บางทีก็จะเป็นการเดินชัน ต่อยมวย กระโดดเชือก หรือสลับกิจกรรมไปเรื่อยๆ แต่ว่าพักนี้คือรูทีนนั้นตัดออกไป ส่วนเวตก็จะประมาณ 3-5 วันต่อสัปดาห์
View this post on Instagram
แล้วทุกวันนี้มีรูทีนออกกำลังกายอย่างไรบ้าง
เบเบ้: ถ้าคาร์ดิโอเนี่ย 3 วัน เพราะว่าเป็นการสอน แล้วอย่างตัว Xformer ก็จะพยายามเล่นทุกครั้งที่เราได้เข้าสตูดิโอ แต่เป็นการฝึกของเราเอง ก็จะอยู่ที่ประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วนเวตแบบที่เข้ายิมเลยก็เหลือวันเดียว
แล้วเบเบ้ชอบตัวเองในเวอร์ชันนี้ไหม
เบเบ้: จริงๆ แล้วชอบทุกเวอร์ชันของตัวเองนะ ไม่ว่าคนรอบตัวจะว่าอย่างไร คือมันก็ต้องมีเสียงวิจารณ์อยู่แล้วว่า “เออ ช่วงนี้ดูบึ้กไปนะ กล้ามเยอะไป” หรือ “ช่วงนี้ผอมไป แห้งไป” คือมันจะมีคำวิจารณ์แบบนี้ตลอด แต่ก็อยากจะให้เชื่อว่า เราชอบตัวเองในทุกๆ เวอร์ชัน เพราะมันมีความรู้สึกว่า ไม่มีเวอร์ชันไหนที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ทุกเวอร์ชันเป็นการที่เราทำเต็มที่แล้วมันก็ให้ผลลัพธ์ออกมาในลักษณะแบบนั้น ก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นการเรียนรู้ไปด้วย ชอบทุกเวอร์ชันที่เราพัฒนามาเรื่อยๆ เวอร์ชันนี้เราอาจจะกล้ามน้อยลง อาจจะซิกซ์แพ็กไม่ชัด แต่รู้สึกว่าเป็นเวอร์ชันที่แฮปปี้
เคยมีโมเมนต์ที่เฟลจากเสียงคนรอบข้างไหม
เบเบ้: เบเป็นคนที่มีภูมิต้านทานด้านการวิจารณ์ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างมาก เพราะว่าเราเป็นนักแสดง เป็นคนในวงการมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งมีคนด่าเรา วิจารณ์เราตลอด เลยรู้สึกว่าเราค่อนข้างแข็งแรงกับการวิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเรามากๆ
เชื่อว่าผู้หญิงหลายคนที่กำลังพยายามพิชิตรูปร่างในฝันคงเจอกับเสียงวิจารณ์จากคนรอบข้างอยู่บ้าง เบเบ้อยากบอกอะไรกับผู้หญิงเหล่านี้
เบเบ้: เบคิดว่า รูปร่างของเรา เราก็พอใจในตัวของเราเอง ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เราทำมันเกิดจากความตั้งใจของเราจริงๆ เกิดจาก การใช้ชีวิตของเรา คุณไม่ต้องไปสนใจเรื่องเสียงวิจารณ์ อีกอย่างหนึ่งคือ คนเราไม่จำเป็นที่จะต้องเพอร์เฟกต์หรือรูปร่างดีตลอดเวลา บางคนแบบเขามีรูปร่างดีมากๆ เวลาที่เราเห็นในไอจี ในโซเชียลต่างๆ ไม่ต้องคนอื่นเลย อย่างเบนะ แต่ก่อนที่เห็นว่าโพสต์รูป (คนคอมเมนต์) ‘เบหุ่นดีจังเลย’ ก็เพราะว่าเบถ่ายรูปวันที่เบลีน วันที่เบเป็นเมนส์ก็ไม่ถ่าย (หัวเราะ)
View this post on Instagram
เราก็เลือกอยากจะโชว์ด้านที่ดี
เบเบ้: ใช่ เราก็อยากจะโชว์ในสิ่งที่เราดูดี ซึ่งอันนั้นก็เป็นข้อเสียของเราเหมือน ว่าเพราะบางทีเราเจอคนแบบแรนด้อมข้างนอก เขาก็อาจจะแบบมีความคาดหวังแบบ ขอจับท้องหน่อย ขอจับกล้ามหน่อย แล้ววันนั้นอาจจะเป็นวันที่เราบวม เขาก็อาจจะเอ๊ะ! ก็ไม่เหมือนในรูปนี่ คือมันก็เป็น Expectation ของคน
ตอนเด็กๆ เบเคยจะใส่ใจมากเรื่องแบบว่า เออ ทำไมแบบหน้าตาเป็นอย่างนี้ ทำไมจมูกเป็นอย่างนี้ ทำไมมีแก้มเยอะ เราเคยเครียดมาก คนพูดเขาไม่ได้มาใส่ใจ เขาพูดเฉยๆ เขาวิจารณ์เฉยๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ว่าเราฟัง เก็บมาคิด แล้วก็เก็บมาเครียด ก็เลยรู้สึกว่าควรปล่อยวางบ้าง
อย่างทุกวันนี้เวลาที่ไปออกกำลังกายก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่ารูปร่างต้องเป็นอย่างไร จะต้องเอวเล็ก จะต้องขามีกล้ามเนื้อ มีก้นเด้ง อะไรแบบนี้ คือพาร์ตนั้นน่ะ เราค่อนข้างใส่ใจน้อยลง เพราะว่าเราเคย Achieve ในส่วนนั้นมาก่อน เราเลยรู้สึกว่าโอเค ถึงเวลาที่เราต้องปรับชีวิตให้มันบาลานซ์แล้ว เราไม่ได้อยากอยู่ในยิมทุกวันเพราะว่าเรามีหน้าที่ส่วนอื่นที่ต้องรับผิดชอบ
เหมือนเรามองเห็น Priority อื่นๆ ในชีวิตมากขึ้น
เบเบ้: ใช่ แต่เราก็ไม่ได้ปล่อยตัวเยอะขนาดว่าแบบ ทำงานไม่ได้เลย หรือว่ากินจนมีโรค เราก็ยังดูแลตัวเองในระดับที่ดีมาก แต่แค่ผลลัพธ์มันอาจจะแบบไม่ได้เพอร์เฟกต์เหมือนต้นแบบสมัยก่อน
แล้วเรื่องการกินยังคงเป็นแบบเดิมไหม
เบเบ้: การกินก็คือ เป็นการกินที่มีความสุขมากขึ้น พื้นฐานเบคือเป็นคนที่กินในปริมาณที่เยอะอยู่แล้ว แต่แค่โภชนาการดีมากๆ โปรตีนถึง คาร์บถึง แฟตน้อยเท่าที่จำเป็น แต่ว่ามันก็จะเป็นอาหารที่ไม่ได้อร่อยมาก
แต่พอมาทุกวันนี้มีความรู้สึกว่า เรา Craving อาหารที่มีความอร่อยมากขึ้น เจอคนเยอะๆ ทำงานที่เครียดๆ บางทีเราก็อยากจะรีแล็กซ์บ้าง กินอะไรที่มันเอ็นจอยมากขึ้น
ด้วยพื้นฐานเราเป็นคนที่รู้ตัวแล้วก็ออกกำลังกายเป็นประจำ เราก็เลยสามารถที่จะบาลานซ์เป็น
อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังล้มลุกคลุกคลานใน Journey ของการดูแลรูปร่างตัวเอง
เบเบ้: ล้มลุกคลุกคลานก็คือไม่เป็นไรเลย เบต้องใช้เวลา 8 ปีกว่า กว่าจะมาเข้าใจแต่ละสเตจว่าอะไรคือ ‘บาลานซ์’ อะไรคือความ ‘ไปได้อีก’ เพราะฉะนั้นก็สัมผัสด้วยตัวเองเลย แต่ว่าอยู่กับความปลอดภัย ทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ
น้ำหนักที่มันขึ้นได้ มันก็ลดได้ น้ำหนักที่ลดไปได้แล้วก็กลับมาได้ แต่ว่าเคมีหรือว่าสิ่งอะไรต่างๆ ที่มันทำให้สุขภาพเราเสียจากระบบข้างในจริงๆ มันค่อนข้างที่จะปรับยาก เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นวิถีธรรมชาติก็คือ สามารถที่จะลองได้หมดเลย
สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็น Self-awareness ตระหนักถึงตัวเอง เข้าใจตัวเอง แล้วก็ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่า อะไรที่มันมากเกินไปต้องมีการบาลานซ์ ต้องมีการพักผ่อนบ้าง
คนที่ออกกำลังกายเริ่มแรกๆ 2-3 ปีแรกเลยนะ พลังเยอะ คิดว่าการพักคือผิด เพราะว่าเบเป็นมาก่อน เป็นมาเกือบ 5 ปีได้ คิดว่าการไม่ออกกำลังกายคือสิ่งที่ผิด
การกินวันหนึ่งไม่ทำให้อ้วนได้ การออกกำลังกายวันหนึ่งก็ไม่ทำให้ผอม แล้วการหยุดออกกำลังกายวันหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราเก่งน้อยลง
เพราะฉะนั้นการพักคือการ Recover ที่ดี แล้ววันต่อไปที่เรากลับมาออกกำลังกายใหม่ สังเกตได้ว่าเราจะมีแรง มีพลังมากขึ้น เพราะฉะนั้น หยุดพัก ไปเที่ยวบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี