ย่านอารีย์ไม่ได้มีดีแค่คาเฟ่ นี่คือสิ่งแรกที่เราคิดหลังจากติดตามเพจ ‘เพื่อนบ้านอารีย์’ มานานตั้งแต่สมัยเปิดตัวใหม่ๆ จนกระทั่งตอนนี้กลายเป็นเพจดังประจำย่านที่ช่วยขับเคลื่อนอารีย์คอมมูนิตี้ให้มีกิจกรรมสนุกๆ และนำเรื่องเล่าน่ารักๆ มาแบ่งปันให้ฟังอยู่เสมอ
THE STANDARD LIFE จึงชวน ‘ฮามิช มัสอิ๊ด’ ผู้อยู่เบื้องหลังเพจเพื่อนบ้านอารีย์ มาเดินเล่นพร้อมแนะนำร้านเด็ดประจำย่านให้เราเดินตามกันสักหนึ่งวัน บวกกับฟังเรื่องราวสนุกๆ จากเขาที่จะทำให้ทุกคนอินกับย่านอารีย์มากกว่าเดิม
ถ้าใครอยากรู้ว่าย่านอารีย์มีอะไรน่ากิน น่าทำ และน่าเล่น ซ่อนอยู่มากแค่ไหน ลองไปตามรอยพวกเราได้ในซีรีส์คอนเทนต์ 4 HOURS: THE STANDARD LIFE x เพื่อนบ้านอารีย์
EAT
Landhaus Bakery
เริ่มกันที่ร้านขนมปังสัญชาติเยอรมันประจำย่านอารีย์ Landhaus อีกหนึ่งเบเกอรีชื่อดังในกรุงเทพฯ ความน่าสนใจคือนักอบขนมประจำร้านจะเริ่มทำงานตอนกลางคืน เพื่อนำขนมปังมาวางขายตอนเช้า
คุณฮามิชเล่าว่า “คุณแดเนียล Master Baker ประจำร้าน จบทางด้านการอบขนมปังมาโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นระบบการศึกษาของประเทศเยอรมนีที่หากคุณต้องการเปิดร้านขนมปังเยอรมัน จะต้องมี Master Baker ที่ได้รับใบอนุญาตและมีประสบการณ์ครบถ้วนอยู่ในร้านด้วย”
ขนมปังของ Landhaus จึงเป็นสไตล์ยุโรป มีอาหารเช้าจนถึงสายสั่งได้ทั้งวันด้วย ราคาเริ่มต้นประมาณ 150-300 บาท เมนูซิกเนเจอร์คือ ซาวโดวจ์แครอต (100 บาท) ซาวโดวจ์ไรย์ (190 บาท / 500 กรัม) และเพรทเซล (65 บาท)
Landhaus เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 07.00-19.00 น.
Laliart coffee
แวะจิบกาแฟในบรรยากาศชิลๆ กันหน่อย เราชอบบรรยากาศของร้าน Laliart (ละเลียด) ที่เหมือนอยู่ในบ้าน ด้านในมีทั้งโซนสั่งกาแฟ ซื้อสินค้าไลฟ์สไตล์ และพื้นที่นั่งโปร่งสบาย เหมาะแวะมานั่งหลบความวุ่นวายของย่านอารีย์
ส่วนด้านบนคาเฟ่จะเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมแนว Spiritual หรือจัดเวิร์กช็อป เช่น Sound Healing, โยคะ หรือการนั่งสมาธิ แต่หากใครอยากแวะมานั่งดื่มกาแฟสักแก้ว กินเค้กแครอตชื่อดังของร้านสักชิ้นก็มาได้เลย
“ย่านอารีย์มีสัมผัสด้าน Wellness อยู่ประมาณหนึ่งเหมือนกัน อย่างเช่นที่ Laliart นอกจากเป็นคาเฟ่ขายกาแฟที่ค่อนข้างจริงจัง พวกเขาก็สนใจเรื่องความยั่งยืน มีสินค้ารักษ์โลกให้ซื้อ มีแปลงผักของตัวเองด้วย พอเข้ามาที่นี่เลยรู้สึกได้หลายบรรยากาศดี ทั้งได้ความสงบและได้กินของที่ดี” คุณฮามิชบอก
ส่วนราคาเครื่องดื่มและขนมเริ่มต้นที่ 100-270 บาท มีเมล็ดกาแฟสเปเชียลตี้ให้ลองหลายชนิด เช่นเดียวกับเบเกอรีหน้าตาน่ากิน
Laliart coffee เปิดทุกวัน เวลา 10.00-17.00 น.
Yellow Lane
บรันช์สไตล์ออสซี่ในบรรยากาศสุดร่มรื่น เราเชื่อว่าเป็นร้านประจำย่านอารีย์ของหลายๆ คนเลย คุณฮามิชเล่าว่าเดิมที่นี่คือบ้านของตระกูลชุณหะวัณ แต่หลังจากปล่อยให้คนอื่นเช่า นักธุรกิจชาวออสเตรเลียนามว่า มาร์ก เซ็ม โคส จึงเข้ามาทำสตาร์ทอัพ และปรับปรุงบ้านหลังนี้ให้ด้วย แต่เพราะย่านนี้ไม่ค่อยมีร้านบรันช์สไตล์ออสซี่แบบที่เขาคุ้นเคย จึงเปิด Yellow Lane ขึ้นมา ก่อนร้านจะกลายเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคนทำงานแบบ Nomad (ทำงานจากที่ไหนก็ได้)
Yellow Lane จึงเป็นเหมือนร้านอาหารมื้อสายที่หลายคนมักพกแล็ปท็อปมาทำงานด้วย หรือเป็นสถานที่นัดพูดคุยสบายๆ พร้อมมีอาหารจานใหญ่ให้กิน โดยราคาอาหารเริ่มต้นที่ 150-400 บาท
Yellow Lane เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09.00-22.30 น.
MTCH
บาร์มัทฉะสเปเชียลตี้ในบรรยากาศร่วมสมัย ถ้าใครเป็นสายชาเขียวต้องไม่พลาดแวะ เพราะ MTCH เป็นอีกร้านที่จริงจังด้านมัทฉะมาก แต่ละเมนูนำเสนอรสชาติที่ดีที่สุดเท่านั้น มาพร้อมความทันสมัย เข้าถึงง่าย และบรรยากาศสีขาวโปร่งสบายสไตล์คาเฟ่มินิมัล
ร้านเปิดอยู่ในบ้านสองชั้น แบ่งพื้นที่ด้านล่างเป็นเคาน์เตอร์สั่งขนมและเครื่องดื่ม ส่วนด้านบนมีโต๊ะนั่งอีกเล็กน้อย เมนูที่แนะนำให้ลองคือ Matcha Latte (150 บาท) และ Panna Cotta (135 บาท)
MTCH เปิดวันพุธ-จันทร์ เวลา 09.00-18.00 น.
Lay Lao
ร้านอาหารอีสานสไตล์ชาวหัวหินที่มาเปิดสาขาแรกอยู่ในย่านอารีย์ Lay Lao เกิดจากครอบครัวที่ชอบทำอาหารกินเอง ก่อนตัดสินใจนำรสชาตินั้นมาเสิร์ฟให้ทุกคนชิมด้วย ความพิเศษของที่นี่จึงอยู่ตรงการใช้ของทะเลสดให้ไม่เสียชื่อคนหัวหิน และจัดเต็มทั้งรสชาติ วัตถุดิบ ไปจนถึงหน้าตาอาหารที่ราวกับทำกินเอง
เมนูต้องลองคือ ข้าวขยำปู ตำถาด ตำกระท้อน หมูสามชั้นคั่วน้ำตาล หมึกไข่เลลาว โดยอาหารมีทั้งแบบกับข้าวและจานเดี่ยว ราคาเริ่มต้นประมาณ 100-800 บาท
Lay Lao เปิดวันพุธ-จันทร์ เวลา 10.30-21.30 น.
ร้านแม่ยุ้ย
อีกหน่ึงร้านประจำย่านอารีย์ที่ใครๆ ก็ต้องพูดถึงหากถามหาร้านอาหารแนะนำ เพราะที่นี่เปิดมานาน 20 ปี เป็นร้านอาหารบรรยากาศคาเฟ่ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เสิร์ฟอาหารสไตล์ Home Authentic Cooking ใช้สูตรเก่าแก่ตกทอดกันในครอบครัวทำให้เราชิม
เมนูส่วนใหญ่เป็นทั้งจานคุ้นเคยหรือบางเมนูหากินไม่ได้ตามร้านอาหารทั่วไป โดยเจ้าของสูตรอาหารร้านแม่ยุ้ยก็คือ คุณอัจฉรา เชี่ยวสกุล แต่ปัจจุบันลูกชายเข้ามาดูแล และมีสูตรอาหารใหม่รสชาติถูกปากทุกคนเพิ่มเข้ามาอีกเพียบ
เมนูแนะนำของร้านคือ แกงเขียวหวานไก่ หมูก้อนทอด ผัดสะตอกุ้งหมูสับ และไอศกรีมโฮมเมด โดยเมนูมีทั้งจานอะลาคาร์ตและจานเดี่ยว ราคาเริ่มต้นประมาณ 150-500 บาท
ร้านแม่ยุ้ย เปิดวันพุธ-จันทร์ เวลา 11.00-22.00 น.
ขนมหวานมะลิวัลย์
ร้านขนมไทยเจ้าดังขึ้นชื่อประจำย่านอารีย์ หากใครแวะมาเช้าๆ จะมั่นใจว่าได้กิน ‘ขนมเปียกปูน’ เมนูขายดีประจำร้านแน่นอน เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านที่เปิดมานานหลายสิบปี ขายขนมไทยรสหอมมัน หวานกำลังดี ใช้สีธรรมชาติ ทำใหม่ทุกเช้า และมีเมนูให้เลือกเยอะ ทุกคนที่เดินผ่านจึงอดใจไม่ไหวและซื้อกลับไปกันหลายชิ้น ช่วงเย็นๆ ก็อาจเหลือตัวเลือกน้อยแล้ว
เมนูแนะนำของร้านขนมหวานมะลิวัลย์ เช่น เปียกปูน ตะโก้ สังขยา ส่วนราคาเริ่มต้น 20-60 บาท
ร้านขนมหวานมะลิวัลย์ เปิดวันจันทร์-เสาร์ เวลา 08.00-18.00 น.
Walk
People of Ari
โรงละครประจำย่านอารีย์ที่มีโชว์และกิจกรรมให้แวะไปชมอยู่เรื่อยๆ ตอนแรกเคยอยู่ที่ Yellow Lane เนื่องจากผู้อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์นี้ก็คือ มาร์ก ชาวออสเตรเลียผู้หลงใหลย่านอารีย์ แต่ตอนนี้ People of Ari มีพื้นที่ประจำเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ด้านในมีทั้งห้องจัดแสดงและห้องรับรองกึ่งบาร์เครื่องดื่ม เสิร์ฟเมนูเดียวกับที่ Yellow Lane เลย
“People of Ari เป็นโปรเจกต์ใหม่ของคุณมาร์ก เขาตั้งใจสนับสนุนศิลปะและเปิดให้เป็น Social Space ประจำย่าน กิจกรรมก็มีทั้งละครเวทีหรือศิลปะการแสดงที่คนดูมีส่วนร่วมได้”
ถ้าใครอยากแวะมาดูนิทรรศการหรือกิจกรรมพิเศษ สามารถติดตามได้ที่ www.peopleofari.com
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หลายคนอาจสงสัยว่าแถวกระทรวงทรัพยากรฯ มีอะไรให้เข้าไปเช็กอิน แต่ถ้าใครอยากเดินเล่นชมธรรมชาติ หามุมเงียบๆ ในย่านอารีย์ ตรงนี้คือที่ที่ชาวอารีย์มาพักผ่อน วิ่งออกกำลังกาย หรือเดินเล่นกัน
“ด้านหลังกระทรวงทรัพยากรฯ จะมีบึงอยู่ด้วย แต่อาจมีการตัดต้นไม้แล้วเปลี่ยนเป็นลู่วิ่ง ทั้งๆ ที่เดินข้ามถนนไปก็เป็นสวนสาธารณะของกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ซึ่งตรงนั้นเป็นที่ที่คนในย่านอารีย์มาออกกำลังกายกัน หลายคนในย่านจึงไม่เห็นด้วยถ้าต้องทำลายพื้นที่ตรงนี้”
Numthong Art Space
อาร์ตสเปซในย่านอารีย์ที่คนรักศิลปะต้องรู้จัก Numthong เปิดมาตั้งแต่ปี 1997 อยู่แถวย่านสามเสน ก่อนจะย้ายมาอยู่ในย่านอารีย์เมื่อปี 2012 และเปลี่ยนจากแกลเลอรีเป็นอาร์ตสเปซ เพื่อจัดแสดงงานศิลปะได้หลากหลายขึ้น อีกทั้งเปิดพื้นที่ให้ศิลปินหน้าใหม่ได้จัดแสดงผลงานด้วย โดยเจ้าของคือ นำทอง แซ่ตั้ง นักสะสมงานศิลปะตัวยงผู้เป็นอีกคนสำคัญในวงการศิลปะของไทย
“คุณนำทองเคยเล่าให้เราฟังว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับศิลปะมาก่อนเลย แต่ด้วยความ Passionate ในด้านศิลปะมากๆ ใช้เวลาอยู่กับศิลปินและปั้นศิลปินขึ้นมา ทำให้ตอนนี้เขาเป็นนักสะสมงานศิลปะมูลค่าสูงมากคนหนึ่ง” คุณฮามิชเล่าและพาพวกเราไปชมอาร์ตสเปซแห่งนี้
งานส่วนใหญ่ที่นำมาจัดแสดงจะเป็นสไตล์ที่คุณนำทองชอบ เช่น งานระบายสี งานประติมากรรม หรืองานศิลปะสมัยใหม่แนวร่วมสมัย โดยมีทั้งของชาวไทยและต่างชาติ
Numthong Art Space เปิดวันอังคาร-เสาร์ เวลา 11.00-18.00 น.
พิพิธภัณฑ์แผ่นเสียง
ที่นี่อยู่ในกรมประชาสัมพันธ์และเปิดให้เข้าฟรี ซึ่งรอบๆ จะมีสวนสาธารณะ ลู่วิ่ง บ่อน้ำ และสนามเทนนิสด้วย
“ในพิพิธภัณฑ์มีแผ่นเสียงเยอะมาก เพราะสมัยหมดยุควิทยุแผ่นเสียงเขาเรียกเก็บแผ่นกลับมารวมไว้ที่นี่ แล้วเจ้าหน้าที่จะคอยจัดเรียง แบ่งปี ให้เราสามารถดูความเก่าได้เลย ความน่าสนใจคือมีเพลงที่กรมประชาสัมพันธ์ผลิตเองให้ฟังด้วย เช่น เพลงวันสงกรานต์ เพลงปีใหม่ ก็สามารถหาฟังได้” คุณฮามิชบอก
“แต่น่าเสียดายที่พิพิธภัณฑ์เล็กๆ อีกแห่งซึ่งอยู่ในสวนกรมประชาสัมพันธ์ไม่สามารถเปิดให้เข้าชมได้ เป็นพิพิธภัณฑ์การกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ทั้งที่เนื้อหาข้างในดีมาก แต่กรมประชาสัมพันธ์ไม่มีงบพอที่จะดูแลส่วนนี้จึงต้องปิดไว้”
พิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุกรมประชาสัมพันธ์ เปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-16.30 น.
The Yard
แม้จะเป็นโฮสเทลยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ทุกคนแวะไปนั่งเล่น กินอาหาร สั่งเครื่องดื่มได้ด้วย เพราะพื้นที่ด้านหน้ามีทั้งร้านเบอร์เกอร์ ร้านอาหารญี่ปุ่น คาเฟ่ ไปจนถึงร้านขายแผ่นเสียง ร้านทำเล็บ และร้านตัดสูท
“The Yard หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘ญาติ’ เป็นเหมือนพลาซ่าของย่านอารีย์ ถ้าใครจัดกิจกรรมก็จะมารวมตัวกันที่นี่ อย่างเพื่อนบ้านอารีย์จัด Clothes Swap ก็จัดที่นี่ เพราะเราคุยกับเจ้าของ The Yard คือพี่ส้มกับพี่ส้ม พวกเขาก็สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและชุมชนเหมือนกัน รวมถึงอยากผลักดันคนรุ่นใหม่ด้วย เลยเปิดพื้นที่หน้าโฮสเทลให้มาทำธุรกิจได้” คุณฮามิชบอก
“ปกติพี่ชอบมาเที่ยวย่านอารีย์อยู่แล้ว เรารู้สึกว่าคุ้นเคยและสบายใจกับย่านนี้ เลยเข้ามาเปิดโฮสเทลที่นี่ แรกๆ ก็ไม่มีใครเห็นด้วย เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวไปแต่แถวข้าวสารและสีลม แต่เราเชื่อว่ามันต้องมีสิคนที่ไม่ได้ชอบย่านวุ่นวายมาก และย่านนี้มีความน่ารักที่พี่อยากให้คนอื่นเห็นด้วย” พี่ส้ม หนึ่งในเจ้าของโฮสเทลพูด
MADBACON
คุณฮามิชพาเราแวะมาต่อที่ร้านชำน่ารักๆ ประจำย่านอารีย์ที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ เชื่อว่าทุกคนต้องใช้เวลาในร้านนี้นานจนลืมแน่นอน โดยด้านในมี 2 ร้านอยู่ด้วยกัน คือ MADBACON ร้านชำสินค้าไลฟ์สไตล์ และคาเฟ่กึ่งแกลเลอรี Guest Room ที่เข้าไปนั่งพักจิบเครื่องดื่มชิลๆ ได้
ร้านนี้จะรวมของใช้ ของเล่น และของกินหลายๆ แบบที่เจ้าของเลือกมาเอง ตั้งใจให้ไม่ซ้ำที่อื่น เพราะอยากให้ทุกคนมาแล้วรู้สึกว่าของชิ้นนี้หาได้จากร้านนี้เท่านั้น เช่น Tiny Hand ของเล่นน่ารักๆ หรือเทียนหอมที่มีทั้งแบบเทียน สเปรย์ หรือธูปก็มี
MADBACON เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11.00-19.00 น.
Drink
WineARI
เรียกว่าที่นี่เป็นคอมมูนิตี้ของคนรักไวน์ก็คงได้ เพราะเจ้าของร้านชาวฮังการี Zoltan เป็นผู้นำเข้าและนักชิมไวน์ตัวยง เขาจึงไม่อยากเปิดแค่ร้านขายไวน์ทั่วไป แต่เป็นสถานที่ที่ทุกคนจะนึกถึงเมื่ออยากจิบไวน์คุณภาพดี แปลกใหม่ เปิดโลก และได้ความรู้บวกคำแนะนำกลับไปด้วย
แถมทุกวันพฤหัสบดี เวลา 5 โมงเย็น ร้านจะมีอีเวนต์ชิมไวน์ โดยร้านจะเปิดไวน์ 1 ขวดให้ทุกคนแวะมาจิบได้ พร้อมมีชีสและโคลด์คัตให้แกล้มด้วย และถ้าหากใครสนใจ จะมีคลาสสอนชิมไวน์ ดูไวน์ และจับคู่ไวน์กับอาหารอีก เราว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าแวะมาหากใครอยากลองเริ่มจิบไวน์ดู
WineARI เปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-21.00 น.
THE KEY ROOM NO.72
เพราะว่าย่านอารีย์เป็นที่อยู่อาศัยเสียส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีร้านแฮงเอาต์มากนัก แต่เราอยากให้ทุกคนแวะมาเดินเล่นย่านนี้แบบครบรส จึงขอแนะนำบาร์ค็อกเทลเพิ่มสักหนึ่งแห่ง ซึ่งนั่นก็คือ THE KEY ROOM NO.72 ในโรงแรม Josh Hotel เผื่อว่าใครอยากหาร้านนั่งดื่ม จบทริปเดินเล่นย่านอารีย์แบบสนุกๆ ชิลๆ
ด้านในบรรยากาศมีความคลาสสิก แต่ละคืนจะมีดีเจเปิดเพลงแตกต่างกัน มาพร้อมค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางของ Mr.Josh ตัวละครประจำโรงแรม เมนูแนะนำ เช่น Mr.Josh Journey (400 บาท) A Drop in Tokyo (380 บาท) หรือ Fly Me to The Saturn (400 บาท)
THE KEY ROOM NO.72 เปิดทุกวัน เวลา 18.00-00.00 น.
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์