×

ส่งท้ายถอดบทเรียนโลกการทำงานจาก The Face Men Thailand Ep. 10 (30 ก.ย. 2560)

01.10.2017
  • LOADING...

*คำเตือน บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหารายการ

     ในที่สุดการเดินทางของการแข่งขัน The Face Men Thailand ก็มาถึงวันสุดท้ายที่เราได้รู้กันแล้วว่าใครคือผู้ชนะ The Face Men Thailand พร้อมกับข่าวเซอร์ไพรส์ว่ากุมภาพันธ์ปีหน้าจะมี The Face Thailand All Stars ปักธูปรวมองค์ผู้เข้าแข่งขันจากซีซันก่อนๆ มาไว้ที่เดียวกัน อันนี้ต้องยกความดีงามให้เหล่าทีมงานที่ขยันหาอะไรใหม่ๆ มาให้คนดู นาโอมิ แคมป์เบลล์ คงงงว่าทำไมประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่รายการของนางเหลือรอดมาได้ยาวนานที่สุด ยาวนานกว่าที่นางทำเองอีก!
     และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะใน The Face Men Thailand เราได้เห็นเมนเทอร์บริหารทีมไปสู่การแข่งขันในแต่ละสัปดาห์ ก็ทำให้เราได้บทเรียนที่สามารถเอาไปใช้ในที่ทำงานได้หมด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็น #ทีมพีช #ทีมหมู #ทีมลูกเกด เราก็เป็นผู้ชนะได้ทุกคน

     ส่งท้ายสัปดาห์สุดท้ายของ The Face Men Thailand กันด้วยบทเรียนโลกการทำงานเช่นเคย และขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาตลอดอย่างเหนียวแน่น ดีใจที่สิ่งที่เขียนมีประโยชน์ และหลายๆ คนกลับมาบอกว่าได้เอาไปใช้ที่ทำงานจริงๆ ต้องยกความดีงามให้กับทางรายการ The Face Men Thailand ด้วยเช่นกัน เราคงได้พบกันอีกแน่นอนครับ

 

 

ทำดีต่อไป

     เหตุการณ์ช็อกโลกของ Ep. นี้คือการที่โจเซฟชนะแคมเปญการแสดง แต่กลับไม่ได้เดินในไฟนอลวอล์ก งงในงงใช่ไหมครับว่าถ้าอย่างนั้นจะแข่งแคมเปญเพื่อ!? ชนะแล้วทำไมไม่ได้ไปต่อล่ะ ตอนที่ประกาศผล คนในฮอลล์เซ็งกันมาก มันคงมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดการตัดสินแบบนี้ขึ้นมา คงต้องใช้คำว่าผลการตัดสินของกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด เป็นการทำความเข้าใจ

     ในโลกการทำงาน บางทีมันจะมีเหตุการณ์ช็อกโลกคล้ายๆ แบบนี้แหละครับ ใช่ว่าทุกที่จะมีความยุติธรรมหรือปราศจากการเมือง ซึ่งเรื่องพวกนี้มันมีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังพัวพันมากมายเกินกว่าที่เราจะรู้ หรือใหญ่เกินกว่าที่เราจะแก้ไข เพราะมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่น เราทำดีแทบตาย แต่ยังไงลูกหลานผู้บริหารก็ต้องได้ขึ้นตำแหน่งเป็นหัวหน้าอยู่ดี ฯลฯ มันจะมีเหตุการณ์ทั้งที่เราได้รับคำอธิบายที่ชัดเจน หรือไม่ได้รับคำอธิบายที่เข้าท่าเลยก็ได้ อันนี้แล้วแต่ว่าองค์กรจริงใจหรือกล้าเผชิญหน้ากับพนักงานแค่ไหน

     แต่สิ่งที่ผมอยากให้ดูเป็นตัวอย่างจากโจเซฟก็คือ ใช่…การตัดสินมันงงๆ และมันทำให้เขาถูกตัดสิทธิ์ไปแบบงงๆ แต่เขาทำหน้าที่ของตัวเองต่ออย่างดี เขาออกมาเดินบนเวทีกับเพื่อน คนดูรักเขา รักในสปิริตที่ยิ่งใหญ่ของเขา เขาเชียร์เพื่อนทุกคนทั้งที่เขาเองก็ควรมีโอกาสได้เดินอยู่ในจุดนั้น ผมเห็นแล้วรู้สึกประทับใจว่าเขาโคตรมีสปิริตเลย

     คิดดูเล่นๆ ว่าเขาสามารถที่จะไม่ยอมรับผลการตัดสินที่งงๆ นี้แล้วโวยวายขึ้นมากลางอากาศก็ได้ ชนะแต่โดนคัดออกได้ไงเว้ยเฮ้ย ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับคนดูที่ไม่เข้าใจที่มาของการตัดสิน แต่เขายังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เราเห็นภาพเบื้องหลังว่าเมนเทอร์ทุกคนเข้าไปกอดเขา แต่เขาไม่มีอาการฟูมฟายใดๆ ชีวิตยังเดินไปได้ต่อ ทำให้งานเดินต่อไปได้ The show must go on จริงๆ และเขาก็ยังได้เดินบนเวที ได้รับความรักจากคนดูอย่างท่วมท้น

     ผมคิดว่าสิ่งนี้ทำให้เขาน่าจดจำในฐานะมนุษย์ที่โคตรมีสปิริต และยิ่งทำให้คนรักเขามากขึ้น และอย่างที่คุณเต้บอกว่าโจเซฟน่าจะได้ค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถในการแสดง (แต่ทำไมไม่ให้เขาเดินล่ะพี่ ฮ่าๆ)

 

 

     ในการทำงานก็เหมือนกันครับ บางทีเราต้องรู้ว่าเมื่อไรต้องพักความรู้สึกส่วนตัวไว้ก่อนแล้วตั้งใจทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพราะมีคนอื่นๆ ที่รอเราอยู่ การที่เราไม่ได้รับความยุติธรรมจากองค์กรไม่สามารถทำลายความตั้งใจของเราได้ ไม่ใช่ว่าเราโดนกระทำย่ำยีมาแล้วก็เลยเลิกความตั้งใจของเราไป หรือเปลี่ยนเป็นคนที่ทำงานไม่ดี

     ที่สุดแล้วองค์กรจะทำตัวอย่างไร มันก็กลับไปที่คุณค่าขององค์กรนั้น เช่นเดียวกัน เราทำงานอย่างไร เราทำตัวอย่างไร มันก็สะท้อนกลับมาที่คุณค่าของตัวเราเอง อย่าให้ใครมาทำลายความตั้งใจของเราได้ ทำงานให้ดีอย่างที่เราตั้งใจต่อไปครับ

Credit: The Face Thailand /Facebook

 

อย่าเสียเพื่อนเพราะงาน

     สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดสำหรับผมในฐานะที่นั่งดูในฮอลล์ไม่ใช่การดูว่าใครจะชนะ แต่เป็นการเห็นผู้เข้าแข่งขันทุกคนเชียร์เพื่อนของตัวเองเต็มที่ ถึงตอนนั้นไม่มีการแบ่งแยกทีมแล้ว ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด ใครเดินออกมาก็ส่งเสียงเชียร์ ยืนขึ้นปรบมือเป็นกำลังใจให้ พอประกาศผล ทุกคนก็ยินดีกับเพื่อนหมด ทั้งกับฟิลลิปส์ แมน และอติล่า เมนเทอร์แต่ละคนฟาดฟันกันมาดุเดือดแค่ไหน บลัฟฟ์กันเองตลอดซีซัน จบการแข่งขันก็กอดกันกลมทั้งเมนเทอร์ทั้งลูกทีมโดยไม่แบ่งแยก ทุกคนเป็นทีมเดียวกันหมด

​     สำหรับผม มันเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก เพราะแม้ตัวเองอยากชนะแค่ไหน แต่เราไม่ลืมความเป็นเพื่อน และรักกันมากพอที่จะรู้ว่าการแข่งขันทำลายความเป็นเพื่อนไม่ได้ ตอนแข่งขันก็แข่งกันเต็มที่ แต่ไม่มีใครเกลียดกัน นอกเกมการแข่งขันเราก็เป็นเพื่อนกันหมด ไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา

 

     โลกการทำงานก็เหมือนกันครับ นอกจากจะทำงานให้ตรงตามเป้าหมายที่เราวางไว้แล้ว ได้เรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ต่างๆ แล้ว จริงๆ ยิ่งทำงานไปเราน่าจะได้เพื่อนกลับมา ได้คนที่รักเรากลับมาด้วย แน่นอนว่าในโลกการทำงานมันมีการแข่งขันเชือดเฉือนระหว่างกันและกันอยู่บ้าง เช่น เป็นเพื่อนกัน แต่ตำแหน่งที่จะได้รับการโปรโมตมีตำแหน่งเดียว หรือเป็นเพื่อนกัน แต่อยู่บริษัทที่เป็นคู่แข่งกัน จะแข่งขันอย่างไรก็ตาม สุดท้ายเรายังต้องรักษาความเป็นเพื่อนไว้ได้อยู่

     ยินดีเมื่อเพื่อนประสบความสำเร็จ เป็นกำลังใจให้เมื่อเพื่อนต้องการ รู้ว่าเมื่อไรเราสวมหมวกเพื่อน เมื่อไรเราสวมหมวกผู้เข้าแข่งขัน คงความรู้สึกดีๆ ต่อกันไว้ให้ได้ อย่าเสียเพื่อนเพราะเรื่องงาน  

     หลายคนคงเคยได้ยินว่าเพื่อนบางคนรักกันมากแค่ไหน แต่พอมาทำงานด้วยกันกลายเป็นแตกแยก ทะเลาะกัน เลิกคบกันไป ผมคิดว่าความน่ากลัวของชีวิตคือเราแยกไม่ออกว่าเมื่อไรจะใช้ความเป็นเพื่อน เมื่อไรจะใช้ความเป็นคนทำงาน

     เมื่อทำงานด้วยกัน เราอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง มีความขัดแย้งกันใดๆ แต่นั่นคือเราเถียงกันในฐานะคนทำงาน ไม่ได้เถียงกันในฐานะเพื่อน ถ้าเราเถียงกันเรื่องงาน แต่เราคิดว่าเขาเถียงกับเราเพราะความเป็นเพื่อน ก็จะมีปัญหาทั้งงาน ทั้งความเป็นเพื่อน ต้องแยกแยะให้ออก

     เพื่อนบางคนสามารถเป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานที่เข้ากันได้ในคนเดียวกัน อันนี้ก็ดีไป แต่เพื่อนบางคนอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่พอทำงานด้วยกัน สไตล์การทำงานคนละแบบ หรือความเห็นคนละทาง แปลว่าอาจจะร่วมทีมทำงานกันได้ยาก แต่ไม่ได้แปลว่าร่วมทีมชีวิตความเป็นเพื่อนไม่ได้ เข้ากันไม่ได้เรื่องการทำงาน ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีกันไม่ได้ เพื่อนบางคนอาจจะเข้ากันได้ในความเป็นเพื่อน แต่แค่ทำงานด้วยกันไม่ได้ก็เท่านั้น

     เราต้องรู้ว่าเราจะวางบทบาทแต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตไว้ตำแหน่งไหน หรือวางระยะห่างแค่ไหนถึงจะปลอดภัย อยู่ตรงไหนแล้วไม่ทำร้ายกัน ยังรู้สึกดีต่อกันได้อยู่ คนไหนไม่ดีก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขามาก ให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่เราไม่ได้ทำลายความรู้สึกซึ่งกันและกันไป แต่เราจะไม่อยู่กับความเกลียดชัง เกลียดคนมันเหนื่อย เรานี่แหละที่จะเหนื่อย คนโดนเกลียดไม่เหนื่อยเท่าเราหรอกครับ

     ที่สำคัญ อย่าเลือกคบเพื่อนเพียงเพราะเขามีประโยชน์กับการทำงานของเราหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้ใช้ชีวิตเรื่องงานด้านเดียว และงานไม่ใช่ทั้งหมดทั้งมวลของชีวิต

 

บริหารเสน่ห์ในที่ทำงาน

     บางคนอาจจะรู้สึกว่าแค่มาเดินบนเวทีเฉยๆ ไม่กี่นาทีจะได้ใช้ความสามารถอะไร

     ​ในฐานะคนที่ไปดูการแข่งขันจริง คุณพระ…นี่ไม่ใช่แค่เดินบนเวทีเฉยๆ แต่มันคือสงครามแห่งการช่วงชิงความสนใจมาที่ตัวเอง ทุกก้าว ทุกสีหน้า ทุกการกระทำบนเวที มันคือการทำอย่างไรก็ได้ให้คนรักเรา มองผมสิ รักผมสิ กรี๊ดให้ผมสิ อยากเอาผมกลับบ้านไปกับคุณสิ จดจำผมให้ได้สิ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีที่เราได้แอร์ไทม์มา

     ตอนที่นั่งดูข้างเวทีผมเลยไม่แปลกใจว่าทำไมฟิลลิปส์เป็นผู้ชนะ ถ้าวัดกันที่ความหล่อ ผมว่าทุกคนก็หล่อกันหมด คนข้างๆ ผมยังบอกว่า “18 คนนั้นน่ะ…ใครก็ได้ มาเถอะ” ซึ่งผมคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนข้างๆ ผมคนเดียว แต่คนทั้งฮอลล์และที่อยู่ทางบ้านก็คงคิดแบบนี้ ฮ่าๆ แต่เอาจริงๆ ตอนที่แต่ละคนปรากฏตัวบนเวที เสน่ห์ของแต่ละคนที่ยิงออกมาไม่เท่ากันเลย ความเป็นที่น่าจดจำไม่เท่ากัน ฟิลลิปส์สร้างความแตกต่างให้ตัวเอง เขาดึงคาแรกเตอร์ที่เป็นเสน่ห์ของตัวเองออกมา คนอื่นเดินเฉยๆ แต่ฟิลลิปส์ทั้งเดิน ทั้งเต้น ทั้งตีลังกา และทุกอย่างมันเข้ากับคาแรกเตอร์เขาหมด มีซีนที่ดึงความสนใจของคนดูไปได้ตลอดเวลา

     ยิ่งตอนที่ฟิลลิปส์เดินคู่กับเมนเทอร์ลูกเกด เราไม่รู้สึกว่าความยิ่งใหญ่ของเมนเทอร์ลูกเกดจะกลบฟิลลิปส์ แต่เมนเทอร์รู้ว่าเวลานี้ต้องให้ฟิลลิปส์เด่น การเดินของคู่นี้เลยส่งให้ฟิลลิปส์เด่นและได้ใช้เสน่ห์เต็มที่โดยไม่ดูแปลกแยก คาแรกเตอร์ของฟิลลิปส์ก็ขี้เล่น น่ารัก ส่วนเมนเทอร์ลูกเกดก็ดึงเอาความสนุกของตัวเองขึ้นมาเสริมให้เป็นทีมเดียวกัน อันนี้ต้องปรบมือให้ทั้งฟิลลิปส์และเมนเทอร์ลูกเกดที่คิดวิธีนี้

 

 

     ซึ่งถ้าดูตอนอติล่ากับแมนเดินออกมา ทั้งคู่หล่อมาก แต่บนเวทีเสน่ห์อาจจะไม่พุ่งเท่าฟิลลิปส์ ความน่าจดจำอาจจะไม่เท่ากับฟิลลิปส์ ทั้งๆ ที่สองคนนี้หล่อมาก และยิ่งตอนที่อติล่าเดินกับเมนเทอร์หมู ผมกลับรู้สึกว่าที่แข่งมาทั้งหมดนี้ เมนเทอร์หมูนี่แหละคือ The Face Men ฮ่าๆ ใครมันจะไปฆ่าพี่หมูบนเวทีได้ ตอนนั้นแทนที่จะดูอติล่าเลยดูพี่หมูแทน     ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดว่าบริหารเสน่ห์บนเวทีได้ดีมากคือเติร์ท เดินมาทีเรารู้สึกเลยว่าน่าจดจำ คาแรกเตอร์ไม่เหมือนใคร บนรันเวย์ใครก็ฆ่าไม่ตาย แค่เดินออกมาเปรี้ยวๆ กางมือออก (อีกนิดก็กรีดผมแบบเกรซ The Face Thailand ซีซัน 3 แล้ว!) คนก็กรี๊ดคอแทบแตกยิ่งกว่าผู้ชายคนไหน อันนี้ต้องปรบมือให้เลย ส่วนคนอื่นๆ ก็หล่อมาก แต่เสน่ห์บนเวทีมากน้อยคละกันไป น้อยคนที่จะทำให้รู้สึกว่าคนนี้คือคนพิเศษที่เราต้องมองและจะไม่ลืม

 

 

     ถ้าจะปรับมาใช้กับที่ทำงาน คงไม่ต้องถึงขนาดเดินไปไหนแล้วได้เสียงกรี๊ดแบบฟิลลิปส์ หรือต้องเดินได้ fierce แบบเติร์ท แต่น่าจะหมายถึงการทำให้คนที่ทำงานรัก การทำให้คนที่ทำงานจดจำเราได้ ทำอย่างไรให้เขาไม่ลืมเรา ทำให้เราไปอยู่ในใจคนทำงานด้วยกันได้ เราต้องรู้ว่าเสน่ห์ของเราคืออะไร ซึ่งส่วนใหญ่มันเริ่มมาจากการที่เราใส่ใจคนอื่นก่อน เราให้ความสำคัญกับคนอื่น การทำงานที่ตั้งใจ และคนก็จะจดจำเราได้เอง

     ถ้าอยู่ไปแล้วเขาจำอะไรเราไม่ได้เลย หรือเหมือนเราไม่มีตัวตนในที่ทำงาน หรือจำแต่สิ่งที่ไม่ดี ไม่น่ารักของเรา อันนี้น่าคิดแล้วล่ะครับว่าเราจะอยู่กับภาพจำแบบนี้จริงหรือ หรือเราควรจะปรับปรุงตัวเองอย่างไร

     เราอาจจะทำงานที่บริษัทนั้นยาวนานแค่ไหนไม่รู้ แต่ภาพของเราจะอยู่กับคนที่เคยทำงานกับเราตลอดไป ต่อให้เราออกไปแล้วหรือไม่ได้เจอกันแล้ว แต่ขอให้ภาพที่เขาจำเราได้เป็นภาพที่ดี ผมว่าก็น่าภูมิใจแล้วนะครับ

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising