Lennon’s ไวนิลช็อปและสปีกอีซี่บาร์ของโรงแรม Rosewood Bangkok กลับมาเปิดประตูต้อนรับเหล่านักดื่ม บาร์ฮอปปิ้ง และผู้ชื่นชอบไวนิลอีกครั้ง หลังจากปิดให้บริการชั่วคราวมาเกือบหนึ่งปีจากผลกระทบสถานการณ์โควิด
ด้วยความที่เป็นไวนิลช็อปด้วย บาร์แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยแผ่นไวนิลกว่า 6,000 คอลเล็กชัน รวบรวมผลงานศิลปินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ฟังไวนิลท่ามกลางบรรยากาศย้อนยุคและห้วงวันวานอดีตในความทรงจำ พร้อมจิบซิกเนเจอร์ค็อกเทลอัปเกรดใหม่ล่าสุดและสนุกสนานขึ้นกว่าเดิม โดย Giuseppe Carneli ผู้จัดการบาร์ชาวอิตาเลียน ที่ก้าวเข้าสู่การโรงแรมและงานบริการตั้งแต่อายุ 17 ปี และผ่านประสบการณ์จากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี อังกฤษ มอลตา เวียดนาม และเมียนมา ก่อนที่จะลงหลักปักฐานที่ประเทศไทย
โดยคอนเซปต์ของค็อกเทลที่นี่ยังคงยึดโยงกับเรื่องราวของเสียงเพลงและไวนิล โดยชูแนวคิด Zero Waste หรือการมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบทุกส่วนให้เกิดประโยชน์มากที่สุดและเหลือส่วนเกินที่ต้องทิ้งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ยังร่วมมือกับเกษตรกร ผู้ประกอบการท้องถิ่น รวมถึงผู้ผลิตสุราชุมชนในการทำเบลนด์พิเศษสำหรับ Lennon’s เพื่อต่อยอดเป็นค็อกเทลสูตรใหม่ในอนาคต
ซิกเนเจอร์ค็อกเทลแบ่งเป็น 4 หมวดใหญ่ Lennon’s Favorite คอลเล็กชันค็อกเทลยอดนิยมของ Lennon’s ที่ผ่านการทวิสต์และประยุกต์ให้เข้ากับคอนเซปต์ Zero Waste ตามด้วย Disco ผ่านการตีความจังหวะและเสียงเพลงให้เป็นดริงก์แนวสนุกสนาน จิบง่าย และเข้าคู่กับคาแรกเตอร์ดนตรีและนักร้อง
ย้อนวันวานสู่ยุคแรกของ Lennon’s กับ Frank Sinatra ‘Fly Me to The Moon’ (450 บาท) วิสกี้ค็อกเทลผสมเหล้าโกโก้ บิทเทอร์ และสวีทเวอร์มุธ ตบท้ายด้วยการพ่นน้ำหอมกินได้กลิ่นส้มโอ เพื่อให้กลิ่นหอมและรสขมปลายลิ้น แทนที่การใช้เปลือกส้ม ใครที่ชื่นชอบคลาสสิกค็อกเทลอย่าง Boulevardier แนะนำให้ลองทวิสต์ค็อกเทลแก้วนี้ เผื่อได้ดริงก์โปรดแก้วใหม่สำหรับครั้งหน้า
เติมสีสันและจังหวะสำหรับค่ำคืนนี้ด้วยดิสโก้ดริงก์ที่หยิบยกศิลปินชื่อดังมาตีความให้เป็นค็อกเทล Donna Summer ‘American Disco’ (450 บาท) ราชินีเพลงดิสโก้ที่มาในรูปแบบค็อกเทลสีม่วงสดใส แก้วนี้เบสด้วยวอดก้า แต่งเติมรสชาติด้วยสวีทเวอร์มุธ อิตาเลียนบิทเทอร์กลิ่นส้ม แล้วนำไปทำให้ใสผ่านกระบวนการ Clarification ด้วยนมและกรดมะนาว จากนั้นค่อยเติมสีม่วงธรรมชาติที่ได้จากดอกอัญชัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งก้อนกลมเหมือนลูกบอลดิสโก้ กลายมาเป็นสปิริตฟอร์เวิร์ดค็อกเทลที่จิบง่าย พูดน้อย ต่อยหนัก และเป็นที่ถูกใจของผู้มาเยือนเสมอมา
แก้วถัดมายังคงวนเวียนอยู่กับดิสโก้ แต่เป็นดิสโก้สไตล์อินเดีย Bappi Lahiri ‘Indian Disco’ (450 บาท) แน่นอนว่าส่วนผสมของดริงก์นี้มีกลิ่นอายอินเดียตั้งแต่จิน ซึ่งเลือกใช้จินอินเดียผสมกับไวต์เวอร์มุธและน้ำมะขาม ก่อนที่จะนำไปเชกพร้อมใบหมุย (ใบแกง) เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม จิบง่าย เหมาะสำหรับดริงก์เรื่อยๆ ตลอดคืน
ข้ามมาที่หมวด The Sound of the Future หมวดนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Synthesizer ซึ่งเป็นที่นิยมในยุค 70-80 และ Giorgio Moroder นักแต่งเพลงชาวอิตาเลียน ผู้ได้สมญานาม Father of Disco จากการนำ Synthesizer ไปสร้างสีสันให้กับเพลงหลายแนว หนึ่งในผลงานเลื่องชื่อของเขาก็คือ I Feel Love ของ Donna Summer นั่นเอง ใครที่ชอบความแปลกใหม่และอยากลองจิบค็อกเทลที่ส่วนผสมเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและวัตถุดิบประจำวันต้องสั่ง Giorgio Moroder (450 บาท) โดยแก้วนี้จะประกอบด้วยส่วนผสม 3 ประเภท Spirit + Bitter + Sweet ครั้งนี้เราได้ชิมค็อกเทลที่เบสด้วยกรัปปา (เหล้าขาวสไตล์อิตาเลียนที่ทำจากองุ่น) คัมพารีบิทเทอร์ และไวต์เวอร์มุธ
อีกสักแก้ว เราแนะนำ Wilfrido Vargas ‘A Mover La Colita’ (450 บาท) เบสด้วยดาร์กรัมจากเปอร์โตริโก อินฟิวส์กับกล้วยทั้งใบและกาแฟโคลด์บรูว์จาก Left Hand Roaster โดยใช้ Village Project Blend ซึ่งเป็นเมล็ดกาแฟที่เป็นเบลนด์รองและมีรูปทรงไม่สวยงาม แต่ยังคงรสสไตล์คั่วเข้มที่เข้ากับคาแรกเตอร์ค็อกเทลแก้วนี้ มาพร้อมการ์นิชที่กินได้ ทำมาจากเปลือกกล้วยอบแห้งแล้วซูวีด์พร้อมเหล้ารัมที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำมาอบต่ออีกรอบก่อนนำมาเป็นการ์นิชในค็อกเทลแก้วนี้
ใครที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ต่อให้แวะมาที่ Lennon’s ก็สามารถเอ็นจอยได้เช่นกัน ครีเอตพิเศษและมีความซับซ้อนไม่แพ้ค็อกเทลแก้วอื่น แนะนำ Misty Morning (320 บาท) เบสด้วยโซจูแอลกอฮอล์ 0% ที่มีส่วนผสมของ CBD สารสกัดจากกัญชาที่ถูกกฎหมายและช่วยให้ผ่อนคลาย เพิ่มรสชาติด้วยกรดมะนาวกับยูซุ แล้วท็อปด้วยโทนิกเบาๆ เหมาะไว้สั่งเป็น One for the Road หรือแก้วสุดท้ายก่อนกลับบ้าน
สั่งค็อกเทลกันไปแล้วอย่าลืมของกินแกล้มให้พอกรุบกริบ Fried Calamari (450 บาท) หมึกชุบแป้งทอดโรยผงกระเทียมแห้ง บีบมะนาวนิดหน่อยแล้วจิ้มมาโยดิป อร่อยจนคำสุดท้าย
Avocado & Crab Roll (550 บาท) ขนมปังบริยอชสอดไส้อะโวคาโดกับเนื้อปู ท็อปด้วยคาเวียร์ หรือจะเป็น Pulled Pork Slider (550 บาท) เบอร์เกอร์หมูซอสบาร์บีคิวกับแยมหอมแดง
ถ้าไม่อยากสั่งอาหาร ลองแพริ่งค็อกเทลกับช็อกโกแลตก็ดีไม่เบา แนะนำ Assorted Chocolate Bonbons (320 บาท) คราฟต์ช็อกโกแลตจากเอ็กเซ็กคิวทีฟเพสทรีเชฟ Florian Couteau มีทั้งมาร์ซิพานช็อกโกแลตสอดไส้เหล้าส้ม ไวต์ช็อกโกแลตรสสตรอว์เบอร์รีกับงาขาว โกโก้นิบส์ และพราลีนรสกล้วย
Lennon’s
Open: วันพุธ-เสาร์ เวลา 18.00-23.00 น.
Address: โรงแรม Rosewood Bangkok ถนนเพลินจิต
Budget: 1,000-2,000 บาท
Tel: 0 2080 0030
Website: https://www.rosewoodhotels.com/en/bangkok/dining/lennons
Map: