×

ความผิดที่ผู้นำ? นักวิจารณ์ชี้วิกฤตโควิด-19 ในอินเดียอาจไม่ถึงขั้นหายนะ หากนายกฯ ใส่ใจคำเตือน

โดย THE STANDARD TEAM
03.05.2021
  • LOADING...
ความผิดที่ผู้นำ? นักวิจารณ์ชี้วิกฤตโควิด-19 ในอินเดียอาจไม่ถึงขั้นหายนะ หากนายกฯ ใส่ใจคำเตือน

HIGHLIGHTS

7 mins. read
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเอเชียมองว่า นายกฯ โมดีนิ่งนอนใจ ถึงขั้นหยิ่งผยองที่คิดว่าอินเดียประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับโควิด-19 ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มีระบบสาธารณสุขเข้มแข็งกว่ามากกำลังดิ้นรนต่อสู้กับโรคนี้
  • ความเฉยเมยของโมดีได้จุดชนวนให้เกิดคลื่นความโกรธ เกิดแฮชแท็กบน Twitter อย่าง #ModiMustResign และ #ModiMadeDisaster ขณะที่รองประธานสมาคมการแพทย์อินเดียเรียกนายกฯ โมดีว่าเป็น ‘ซูเปอร์สเปรดเดอร์’ จากการที่เขาปล่อยให้มีการจัดการชุมนุมทางการเมือง และอนุญาตให้ผู้แสวงบุญหลายล้านคนหลั่งไหลมาที่เมืองหริทวาร เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลกุมภเมลาของศาสนาฮินดู
  • สาเหตุที่โมดีไม่ประกาศล็อกดาวน์ทั้งประเทศนั้น อาจเป็นเพราะเขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นความล้มเหลว เพราะมาตรการดังกล่าวสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลและสร้างความเดือดร้อนให้กับคนยากจน และเขาก็อาจวิตกว่าจะกระทบต่อคะแนนเสียง

เมื่อวันที่ 17 เมษายน ก่อนการเลือกตั้งระดับรัฐ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งไม่สวมหน้ากากอนามัย กล่าวกับบรรดาผู้สนับสนุนที่มาร่วมชุมนุมฟังการปราศรัยของเขาว่า “ผมไม่เคยเห็นฝูงชนมาฟังการปราศรัยมากเช่นนี้มาก่อน”

 

การชุมนุมปราศรัยทางการเมืองยังคงจัดขึ้น ทั้งๆ ที่อินเดียกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสาธารณสุขและมนุษยธรรม โดยในวันดังกล่าว อินเดียมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 261,000 ราย ซึ่งมากกว่าทุกประเทศในโลก

 

และสถานการณ์มีแต่แย่ลง โดยในแต่ละวันนับตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน อินเดียรายงานผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 300,000 รายต่อวัน ซึ่งมากกว่าตัวเลขผู้ป่วยรายวันที่มีการรายงานทั่วโลกถึงครึ่งหนึ่ง ขณะที่กรุงนิวเดลี เมืองหลวง กำลังขาดแคลนฟืนสำหรับเผาศพ โรงพยาบาลเต็มและขาดออกซิเจน และมีประชากรเพียง 2% เท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว ส่งผลให้ผู้นำต่างประเทศต้องเร่งให้ความช่วยเหลืออินเดีย

 

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ CNN เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นเรนทรา ทาเนจา โฆษกพรรคชาตินิยมฮินดู ภารติยะ ชนะตะ (BJP) ของโมดี ยอมรับว่าการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สองในอินเดียย่อมต้องเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเป็นอันดับแรก แต่ขณะเดียวกันก็กล่าวปกป้องรัฐบาลว่า วิกฤตนี้ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แม้จะมีหลายประเทศที่ต้องต่อสู้กับการระบาดระลอกที่สองเช่นกัน เนื่องจากมีไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ ผุดขึ้นทั่วโลก

 

ขณะที่คนอื่นๆ ในแวดวงของโมดีโต้แย้งว่า หากจะหาคนรับผิดชอบในเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นรัฐบาลระดับรัฐที่ไม่ประกาศล็อกดาวน์ในภูมิภาค และจัดการระบบบริการสุขภาพของตนผิดพลาด โดยหรรษ วรรธน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินเดียกล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนออกซิเจนในโรงพยาบาลไม่ได้เกิดจากการจัดหา แต่อยู่ที่การแจกจ่าย แบ่งสันปันส่วน ซึ่งรัฐมนตรีสาธารณสุขอ้างว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลระดับรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม หลายคนในอินเดียยังคงเชื่อว่าความรับผิดชอบเป็นของโมดีและรัฐบาลชาตินิยมฮินดูของเขา ซึ่งนอกจากจะไม่เตรียมพร้อมสำหรับการระบาดระลอกใหม่แล้ว ยังสนับสนุนให้มีการชุมนุมทางการเมืองและการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ในเทศกาลของชาวฮินดู

 

“รัฐบาลทำให้เราทุกคนผิดหวัง” ปริยันกา คานธี วาทรา เลขาธิการทั่วไปของพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย (Indian National Congress) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กล่าวในแถลงการณ์สัปดาห์นี้

 

การประชาสัมพันธ์ตัวเองของโมดีในช่วงของการแพร่ระบาด

 

โมดีกระตือรือร้นที่จะให้ชื่อและภาพของตนไปเกี่ยวข้องกับแง่มุมเชิงบวกของมาตรการรับมือการแพร่ระบาด ยกตัวอย่างเช่น ชาวอินเดียที่ได้รับการฉีดวัคซีนจะได้รับใบรับรองที่มีใบหน้าของเขาปรากฏอยู่

 

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ กองทุนการกุศลที่รวบรวมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้นใช้ชื่อว่า PM Cares ซึ่งย่อมาจาก Prime Minister’s Citizen Assistance and Relief in Emergency Situations Fund หรือ กองทุนช่วยเหลือพลเมืองและบรรเทาทุกข์ในสถานการณ์ฉุกเฉินของนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีภาพของโมดีปรากฏเด่นหราบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของกองทุน

 

ด้วยการที่ชื่อและภาพของโมดีไปปรากฏเชื่อมโยงกับมาตรการเหล่านี้ ประกอบกับยอดผู้ติดเชื้อในการระบาดรอบแรกไม่เลวร้ายรุนแรงอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนหวาดกลัว และการที่อินเดียสามารถผลิตวัคซีนได้เองในประเทศ จึงดูเหมือนว่าการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของอินเดียจะเป็นชัยชนะของโมดีในแง่ของการประชาสัมพันธ์ตัวเอง 

 

ยิ่งไปกว่านั้น อินเดียยังวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้ช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ด้วยการส่งออกวัคซีนมากกว่า 66 ล้านโดส แทนที่จะเป็นประเทศที่รอคอยความช่วยเหลือ

 

“อินเดียช่วยโลก ช่วยมนุษยชาติจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ด้วยการควบคุมโคโรนาไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพ” โมดีกล่าวในการประชุม World Economic Forum เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา

 

เนื่องจากประชาชนจำนวนมากในอินเดียรู้สึกว่าการแพร่ระบาดนั้นสิ้นสุดลงแล้ว การเข้ารับการฉีดวัคซีนจึงช้ากว่าที่คาดไว้ และจากข้อเท็จจริงที่ว่าประมาณ 300 ล้านคนของประชากร 1.3 พันล้านคนในอินเดีย เป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาจไม่ทราบว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง 

 

“คุณไม่สามารถตำหนิคนที่คิดว่า ‘รัฐบาลอาจจะรู้ดีที่สุด บางทีสิ่งต่างๆ อาจกลับมาเป็นปกติ บางทีเราควรออกไปใช้ชีวิตตามปกติของเรา’” ประทีป ทาเนจา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเอเชียจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และเป็นนักวิจัยของสถาบันอินเดีย-ออสเตรเลีย กล่าว

 

แต่แท้จริงแล้วการแพร่ระบาดยังห่างไกลจากคำว่าสิ้นสุด เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม พรรค BJP ยังคงอ้างว่าอินเดีย “เอาชนะโควิด-19 ภายใต้ความเป็นผู้นำที่มีความสามารถ อ่อนไหว มุ่งมั่น และมีวิสัยทัศน์” ของโมดี

 

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม อินเดียรายงานตัวเลขผู้ป่วยใหม่รายวันประมาณ 18,000 ราย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า อินเดียกำลังอยู่ในช่วงท้ายของการต่อสู้กับโควิด-19 และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม หรือหนึ่งวันก่อนที่ทางการจะรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 81,000 รายในวันเดียว วรรธนกล่าวว่า “สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม”

 

ท่ามกลางเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่ตรวจพบในต่างประเทศ นักระบาดวิทยาในอินเดียเชื่อว่าการระบาดระลอกที่สองในประเทศกำลังจะมาถึง อย่างไรก็ดี รามนัน ลักษมีนรายัน นักเศรษฐศาสตร์และนักระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในนิวเดลี กล่าวว่า แม้การระบาดระลอกสองเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ 

 

ประทีป ทาเนจา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเอเชีย กล่าวว่า “โมดีนิ่งนอนใจ ถึงขั้นหยิ่งผยองที่คิดว่าอินเดียประสบความสำเร็จ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มีระบบสุขภาพเข้มแข็งกว่ามากกำลังดิ้นรนต่อสู้กับโรคนี้”

 

การระบาดระลอกสองจุดชนวนคลื่นความโกรธ

 

ในขณะที่ยอดผู้ป่วยของอินเดียพุ่งขึ้นไม่หยุด โมดีกลับยังคงนิ่งเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่ และไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศครั้งที่สองอย่างที่หลายคนคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น 

 

การเฉยเมยของโมดีได้จุดชนวนให้เกิดคลื่นความโกรธ กระตุ้นให้ประชาชนจำนวนมากพากันแชร์แฮชแท็กบน Twitter เช่น #ModiMustResign และ #ModiMadeDisaster สื่อท้องถิ่นรายงานว่า นาฟจอต ดาฮียา รองประธานสมาคมการแพทย์อินเดีย เรียกโมดีว่าเป็น ‘ซูเปอร์สเปรดเดอร์’ จากการที่เขาปล่อยให้มีการจัดการชุมนุมทางการเมือง และอนุญาตให้ผู้แสวงบุญหลายล้านคนหลั่งไหลมาที่เมืองหริทวารทางตอนเหนือของอินเดีย เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลกุมภเมลา (Kumbh Mela) ของศาสนาฮินดู 

 

“ประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาลของพวกเขาจะทำให้พวกเขามั่นใจได้ว่ารัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบและดูแลสิ่งต่างๆ… แต่รัฐบาลเกือบจะไม่ลงมือทำอะไรเลย” ประทีป ทาเนจา กล่าว “ตอนนี้ที่อินเดียกำลังเผชิญกับวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในช่วงชีวิตของผม นายกรัฐมนตรีอยู่ที่ไหน”

 

อาซิม อาลี นักวิจัยที่ศูนย์วิจัยนโยบายในเดลี กล่าวว่า คำวิจารณ์ที่มีต่อโมดีถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดาในประเทศที่หลายคนมองว่าเขาเป็น ‘นักบุญ’ ผู้ทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติอยู่เสมอ การชนะเลือกตั้งสมัยที่สองอย่างถล่มทลายในปี 2019 ของโมดี ทำให้เขาได้ครองตำแหน่งต่อไปอีก 5 ปี และมีอำนาจท่วมท้นในการผลักดันนโยบายของพรรคชาตินิยมฮินดูในประเทศที่ประชากร 80% นับถือศาสนาฮินดู

 

แต่ถึงแม้จะมีอำนาจอยู่ในมือ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า โมดียังคงกังวลว่าเขาอาจจะสูญเสียคะแนนสนับสนุน หากมีการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศอีกครั้ง

 

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2020 โมดีประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งที่ในเวลานั้นอินเดียรายงานตัวเลขผู้ป่วยเพียง 519 ราย มาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้รถประจำทางและรถไฟหยุดให้บริการ ห้ามเดินทางข้ามรัฐ และประชาชนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน เว้นแต่จะออกไปซื้ออาหารหรือของใช้จำเป็น บางคนถึงกับกล่าวว่ามาตรการล็อกดาวน์ของอินเดียเป็นการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดที่สุดในโลก

 

การล็อกดาวน์ดังกล่าวกินเวลาหลายเดือนในบางพื้นที่ของประเทศ แม้ว่าในที่สุดแล้วยอดติดเชื้อจะลดลงหลังจากถึงจุดสูงสุดในเดือนกันยายน แต่การล็อกดาวน์ที่ยาวนานส่งผลกระทบต่อแรงงานหลายล้านคนในอินเดียที่ได้รับค่าแรงเป็นรายวัน เศรษฐกิจของประเทศหดตัวลงเป็นประวัติการณ์ 24% ในไตรมาสที่สอง และ GDP หดตัวโดยรวม 6.9% ในปีที่แล้ว

 

เมื่อมาถึงคราวระบาดรอบสองที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ โมดีสนับสนุนให้กำหนด ‘เขตควบคุมขนาดเล็ก’ (Micro Containment Zone) แทนการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นการบังคับใช้ข้อจำกัดต่างๆ ในพื้นที่ที่มีความน่ากังวล และขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐที่จะตัดสินใจว่าจะบังคับใช้เมื่อใดและอย่างไร ซึ่งจนถึงขณะนี้มีอย่างน้อย 8 รัฐและดินแดนของอินเดียที่ประกาศล็อกดาวน์บางรูปแบบ ตั้งแต่เคอร์ฟิวในรัฐกรณาฏกะและรัฐคุชราต ไปจนถึงการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบในนิวเดลี

 

ราจีฟ ซาดานันดัน อดีตข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขของรัฐเกรละ และซีอีโอของ Health Systems Transformation Platform ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร กล่าวว่า สาเหตุที่โมดีไม่ประกาศล็อกดาวน์นั้นเข้าใจง่ายมาก นั่นคือ ‘ครั้งที่แล้วการล็อกดาวน์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นความล้มเหลว’ เพราะมาตรการดังกล่าวสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล และสร้างความเดือดร้อนให้กับคนยากจน

 

นอกจากนี้ การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติที่จัดขึ้นในเดือนที่ผ่านมาในรัฐอัสสัม รัฐเบงกอลตะวันตก รัฐเกรละ รัฐทมิฬนาฑู และดินแดนสหภาพปูดูเชร์รีอาจเป็นปัจจัยหนึ่งเช่นกัน โดยสองรัฐเป็นฐานเสียงของพรรค BJP ในขณะที่รัฐเบงกอลตะวันตกเป็นรัฐที่มีการขับเคี่ยวกันอย่างสูสี เมื่อถูกถามว่าเหตุใด BJP จึงยังคงจัดการปราศรัยหาเสียงต่อไป โฆษกของพรรคตอบว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง ‘อิสระ’ ของอินเดียอนุญาตให้กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งดำเนินต่อไปได้

 

ขาดการเตรียมความพร้อม

 

ในขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ของอินเดียค่อนข้างน่าเบาใจเมื่อช่วงต้นปีนี้ โมดีควรเตรียมประเทศให้พร้อมสำหรับการสู้รบกับโควิด-19 ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการอุดช่องว่างด้านบริการสุขภาพ

 

ประทีป ทาเนจา กล่าวว่า รัฐบาลประมาทที่ไม่เตรียมรับมือกับการระบาดระลอกใหม่ ทั้งที่มีบทเรียนจากประเทศอื่นๆ ที่มีระบบบริการสุขภาพที่ดีกว่า

 

ทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษต่างก็ถูกโควิด-19 เล่นงานในระลอกที่สองหนักกว่าระลอกแรก ถึงแม้จะมีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ตาม ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของทำเนียบขาว กล่าวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า สหรัฐฯ เตรียมรับมือการระบาดระลอกที่สองด้วยการเติมอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือให้พร้อม 

 

แม้สื่อท้องถิ่นในอินเดียรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เตือนถึงการขาดแคลนออกซิเจนในเดือนเมษายนปีที่แล้วและอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่ดำเนินการใดๆ อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์ถึงการขาดความพร้อมของรัฐบาลอินเดียนั้น ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่โมดีเพียงคนเดียว

 

ในเดือนเมษายน สื่อท้องถิ่น The Caravan รายงานว่า คณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์แห่งชาติของประเทศ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อให้คำแนะนำรัฐบาลกลางเกี่ยวกับวิธีรับมือกับการระบาดของโรค ไม่ได้จัดการประชุมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ทั้งที่ในเวลานั้นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นมากกว่าหกเท่า 

 

อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ระบบสุขภาพของอินเดียได้รับการสนับสนุนเงินทุนไม่เพียงพอ ข้อมูลจากของธนาคารโลกระบุว่า ในปี 2018 ค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพของอินเดียคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3.5% ของ GDP  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 10% และต่ำกว่าในสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 17% ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ อินเดียมีแพทย์ 0.9 คนต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 1.6 และ 2.6 ในสหรัฐฯ

 

ฮาร์ช แมนเดอร์ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขของอินเดียหยุดนิ่งมานานหลายทศวรรษก่อนที่โมดีจะเข้ามารับตำแหน่ง

 

ซารานันดัน อดีตเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐเกรละ กล่าวว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดียไม่มีระบบเฝ้าระวังที่เพียงพอในการติดตามการระบาด แต่สำหรับเขา นั่นเป็นความล้มเหลวในระดับรัฐ ไม่ใช่รัฐบาลกลาง เนื่องจากสุขภาพเป็นปัญหาของรัฐ “ผมไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเราเคยเห็นภาพแบบนี้มาแล้วจากการแพร่ระบาดหลายครั้งก่อนหน้านี้”

 

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์กล่าวว่า แม้ผู้นำของแต่ละรัฐมีส่วนที่จะต้องรับผิด แต่หากโมดีจะรับเอาความดีความชอบสำหรับชัยชนะในการคุมการระบาดรอบแรกในประเทศ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการแพร่ระบาดระลอกสองด้วยเช่นกัน

 

ความเป็นที่นิยมชมชอบและชื่อเสียงที่ไม่ธรรมดาของโมดีนั้นหมายความว่าการกระทำของเขามีอำนาจและมีอิทธิพลต่อคนจำนวนมาก ดังนั้น การมองข้ามความเสี่ยงของการแพร่ระบาดอาจส่งผลต่อการกระทำของผู้ติดตามหลายล้านคนทั่วประเทศ และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เมื่อช่วงต้นปีนี้ ผู้คนจำนวนมากในอินเดียเลิกสวมหน้ากากอนามัย และไม่มีใครสนใจที่จะปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอีกต่อไป

 

ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า มหันตภัยโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจะทำให้โมดีเสื่อมเสียชื่อเสียงลงหรือไม่ โดยขณะนี้ยังมีเวลาอีกสามปีก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า และโมดียังไม่มีผู้ท้าชิงที่เด่นชัดในตอนนี้

 

แต่ประทีป ทาเนจา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองเอเชีย คาดหวังว่าจะได้เห็นประชาชนชาวอินเดียประเมินรัฐบาลของโมดีเสียใหม่

 

“เราไม่สามารถกล่าวโทษใครเพียงคนเดียวสำหรับหายนะที่เกิดขึ้นกับอินเดีย แต่ถ้าคุณเป็นนายกรัฐมนตรี ความรับผิดชอบหลักก็ต้องตกอยู่กับคุณแน่นอนอยู่แล้ว” เขากล่าว

 

บาร์คา ดัตต์ คอลัมนิสต์ของ The Washington Post ซึ่งพ่อของเธอเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เมื่อไม่กี่วันก่อน เปิดเผยว่า คำพูดสุดท้ายของพ่อของเธอคือ “ผมสำลัก โปรดรักษาผมด้วย” เธอรู้สึกโกรธและรู้สึกถูกทรยศ ที่ในขณะที่ผู้คนทั่วอินเดียกำลังต่อสู้กับไวรัส แต่นักการเมืองกลับยังคงเดินหน้าจัดการชุมนุมปราศรัยหาเสียง ดัตต์อธิบายถึงรัฐบาลของโมดีว่า ‘อำมหิต’ ‘หูหนวก’ และ ‘ไม่ยอมรับรู้อะไรเลย’

 

เธอกล่าวว่าระบบบริการสุขภาพพังทลายลงอย่างชัดเจน แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของแพทย์ โรงพยาบาล หรือบุคลากรด่านหน้า

 

“เราพังเพราะรัฐบาลที่ไม่คิดจะจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับรับมือการระบาดระลอกที่สอง” เธอกล่าว “มีใครจะรับผิดชอบต่อคนนับพันที่กำลังจะตาย?”

 

ภาพ: Dipa Chakraborty / Pacific Press / LightRocket via Getty Images

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising