×

น้ำลดตอผุด: เมื่อคดีความต่างๆ กำลังเล่นงานทรัมป์ โอกาสกลับมาเป็นประธานาธิบดีปี 2024 มีมากแค่ไหน

11.04.2023
  • LOADING...
โดนัลด์ ทรัมป์

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัยการ (Prosecutor) ของเขตแมนฮัตตันในนิวยอร์กอย่าง อัลวิน แบรกก์ พร้อมคณะลูกขุนใหญ่ (Grand Jury) ได้มีความเห็นให้สั่งฟ้อง (Indict) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในคดีเกี่ยวกับการจ่ายเงินปิดปากนักแสดงหนังผู้ใหญ่อย่าง สตอร์มี แดเนียลส์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นข่าวใหญ่สะเทือนแวดวงการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการสร้างชาติมาที่อดีตผู้นำสูงสุดของพวกเขาถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น คดีของแดเนียลส์เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ คดีที่ทรัมป์กำลังถูกสอบสวนอยู่ ซึ่งก็แปลว่าวิบากกรรมทางกฎหมายของเขาอาจจะไม่จบเพียงเท่านี้

 

คดีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และจะมีผลอย่างไรต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 บทความนี้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกถึงแง่มุมต่างๆ

 

ค่าปิดปาก

ที่มาของคดีความนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ทรัมป์ยังไม่เข้ามาเล่นการเมือง โดยที่เขาแอบไปมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับนักแสดงหนังผู้ใหญ่อย่าง สตอร์มี แดเนียลส์ ซึ่งในเวลาต่อมาแดเนียลส์ก็ได้ใช้ความลับนี้ข่มขู่ทรัมป์ในช่วงที่เขากำลังหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 ซึ่งทรัมป์และทีมงานหาเสียงของเขาก็ได้เล็งเห็นว่าถ้าแดเนียลส์ออกมาแฉเรื่องนี้ มันก็น่าจะทำให้คะแนนนิยมของเขาลดลงจนแพ้การเลือกตั้งต่อ ฮิลลารี คลินตัน ได้ ทำให้ทรัมป์ตัดสินใจยอมจ่ายเงินแดเนียลส์เป็นเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นค่าปิดปาก โดยที่ทรัมป์ให้ทนายคู่ใจของเขาที่ชื่อ ไมเคิล โคเฮน เป็นคนจ่ายเงินให้แดเนียลส์ไปก่อนแล้วเขาค่อยมาจ่ายเงินคืนโคเฮนทีหลัง (เพื่อที่จะได้ไม่มีหลักฐานว่าทรัมป์จ่ายเงินให้แดเนียลส์โดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นช่องในการที่แดเนียลส์จะมาแบล็กเมลเขาได้อีก)

 

การมีความสัมพันธ์นอกสมรสและการจ่ายเงินค่าปิดปากนั้นไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ทรัมป์นั้นพลาดตรงที่ว่าเขาใช้เงินของบริษัทของเขาจ่ายคืนเงินค่าปิดปากให้กับโคเฮน และระบุในเอกสารของบริษัทว่าเงินที่จ่ายให้โคเฮนนั้นเป็นค่าปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งนั่นไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด และมันก็ผิดกฎหมายของมลรัฐนิวยอร์กในเรื่องของการทำเอกสารเท็จ

 

แค่ลหุโทษ?

ตามกฎหมายของมลรัฐนิวยอร์กนั้น ความผิดฐานทำเอกสารทางธุรกิจเท็จเป็นเพียงลหุโทษ (Misdemeanor) ที่มีเพียงแค่โทษปรับโดยที่ไม่มีโทษจำคุก ยกเว้นแต่ว่าการทำเอกสารเท็จนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทำอาชญากรรมอื่นๆ ซึ่งในกรณีนั้นความผิดอาจจะหนักขึ้นเป็นโทษหนัก (Felony) ที่อาจจะมีโทษถึงขั้นจำคุกได้

 

จากเอกสารการยื่นฟ้องที่แบรกก์เปิดเผยออกมา เราก็ยังไม่ได้เห็นคำตอบที่ชัดเจนว่าเขาจะเชื่อมโยงคดีเอกสารเท็จกับอาชญากรรมอื่นๆ อย่างไร แบรกก์ให้สัมภาษณ์เป็นนัยๆ หลังยื่นฟ้องว่าเขาจะเชื่อมโยงคดีเอกสารเท็จกับกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเขามองว่าเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียงที่ทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยต่อคณะกรรมการเลือกตั้ง (ทั้งตอนที่รับและตอนที่จ่าย) แต่ผู้สันทัดกรณีหลายคนก็มองว่าข้อกล่าวหานี้อาจจะไม่ได้อยู่ในอำนาจสั่งฟ้องของแบรกก์ เพราะการเลือกตั้งของทรัมป์เป็นการเลือกตั้งระดับชาติ (Federal Election) ไม่ใช่การเลือกตั้งระดับมลรัฐที่อัยการเขตอย่างเขาจะมีอำนาจไปสืบสวนและสั่งฟ้อง

 

ความไม่แน่นอนที่ว่าทรัมป์ได้ทำผิดกฎหมายข้ออื่นอีกหรือไม่นอกเหนือจากลหุโทษอย่างการกรอกเอกสารเท็จนี่เองที่เป็นจุดที่ทรัมป์ใช้โจมตีแบรกก์ (ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต) ว่านี่เป็นการ ‘เช็กบิล’ ทางการเมือง หลังจากที่เขาหมดอำนาจลง ทรัมป์ตอบโต้ว่าการกรอกเอกสารทางธุรกิจผิดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากในการทำธุรกิจ และการที่เขาโดนฟ้องอยู่คนเดียวนั้นไม่ต่างอะไรจากการล่าแม่มด

 

แต่วิบากกรรมทางกฎหมายของเขายังไม่หมด

ถึงแม้ว่ามีความเป็นไปได้มากว่าศาลจะตัดสินว่าทรัมป์มีความผิดแค่โทษปรับในคดีของแดเนียลส์ แต่คดีความของเขายังไม่หมดเพียงแค่นี้ ทรัมป์ยังอยู่ภายใต้การสอบสวนในอีก 3 คดีใหญ่ ได้แก่ คดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าพยายามจะโกงผลการเลือกตั้งที่มลรัฐจอร์เจีย, คดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม และคดีที่เขาถูกกล่าวหาว่านำเอกสารลับของราชการไปเก็บไว้กับตัวเองหลังจากพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ซึ่งอัยการใน 3 คดีนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะส่งฟ้องเขาหรือไม่

 

ทั้งสามคดีที่ว่ามามีโทษหนักกว่าคดีเอกสารเท็จมาก และหลักฐานของคดีเลือกตั้งที่จอร์เจียและคดีเอกสารลับก็แน่นหนากว่ามาก (คดีจอร์เจียเรามีบันทึกเสียงบทสนทนาระหว่างทรัมป์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมลรัฐที่ทรัมป์พยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนผลการนับคะแนน ส่วนคดีเอกสารลับก็มีการตรวจพบเอกสารลับที่คฤหาสน์มาราลาโกของทรัมป์โดยเจ้าหน้าที่ FBI) ทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายคนมองว่าการที่แบรกก์ตัดสินใจออกมาฟ้องทรัมป์ในคดีแดเนียลส์นั้นเป็นการเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ที่ผิด เพราะคดีนี้เป็นคดีที่หลักฐานอ่อนที่สุด และถ้าหากศาลตัดสินให้ทรัมป์ชนะก็จะทำให้คำอ้างของเขาที่ว่าคดีต่างๆ เป็นการล่าแม่มดโดยพรรคเดโมแครตนั้นหนักแน่นยิ่งขึ้นจนทำให้ความชอบธรรมในการฟ้องคดีที่เหลืออีกสามคดีนั้นหมดความชอบธรรมลงไป ทั้งๆ ที่หลักฐานอาจจะแน่นหนากว่า

 

ผลต่อการเลือกตั้งในปี 2024

เรายังไม่อาจรู้ได้ว่าคดีความต่างๆ ที่ว่ามาจะมีผลอย่างไรต่อโอกาสของทรัมป์ในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรครีพับลิกันและการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2024 แน่นอนว่าคำพิพากษาในคดีแดเนียลส์ย่อมจะมีผลอย่างมาก เพราะหากศาลตัดสินให้ทรัมป์ชนะ เขาก็น่าจะได้รับความเห็นใจจากประชาชนว่าเขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ในทางตรงข้ามหากเขาแพ้ในคดีนี้หรือถูกสั่งฟ้องและแพ้ในคดีอื่นๆ อีก ชื่อเสียงและความนิยมของเขาก็น่าจะลดลงไปมาก

 

ณ ตอนนี้สิ่งที่เราพอรู้ก็คือฐานเสียงของพรรครีพับลิกันดูเหมือนจะเชื่อคำกล่าวอ้างของทรัมป์ว่าคดีแดเนียลส์เป็นเรื่องของการล่าแม่มด เพราะผลโพลหลังจากมีข่าวการยื่นฟ้องออกมาระบุว่าคะแนนนิยมของเขาในหมู่สมาชิกพรรครีพับลิกันสูงขึ้น หรือแม้แต่คู่แข่งในการเลือกตั้งขั้นต้นของเขาอย่าง รอน เดอซานติส ผู้ว่าการมลรัฐฟลอริดา ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาเห็นด้วยกับทรัมป์ว่านี่เป็นการล่าแม่มด และไม่กล้าที่จะเอาเรื่องนี้มาโจมตีทรัมป์ในระหว่างการหาเสียง

 

ภาพ: Carmen Mandato / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising