วันนี้ (27 ธันวาคม) การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายของปี 2565 โดยก่อนการประชุมนั้น ในเวลา 08.30 น. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ หวังเจี้ยน ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท BGI ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
เวลา 09.00 น. พล.อ. ประยุทธ์เป็นประธานการประชุม ครม. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างคึกคักท่ามกลางกระแสการเมืองร้อน หลังจากเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พล.อ. ประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ตอบรับการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวของพรรครวมไทยสร้างชาติ
ส่วน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าช่วงนี้ พล.อ. ประยุทธ์มีวาระการทำงานในแต่ละวันที่ค่อนข้างแน่น ทั้งนี้คาดว่าการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นจะเป็นช่วงหลังปีใหม่
ด้าน ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ว่า ย้ำชัดมาตั้งแต่ต้นว่าอยู่กับ พล.อ. ประยุทธ์ ท่านนายกฯ อยู่ตรงไหน ตนเองอยู่ตรงนั้น
ส่วนไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้การเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่นั้น ธนกรกล่าวว่า ตัวเองเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีความคุ้นเคยกับ ส.ส. ในพื้นที่หลายจังหวัด หากมีโอกาสและผู้ใหญ่เห็นสมควร พร้อมทำหน้าที่ ส่วนท่าทีของ พล.อ. ประยุทธ์นั้นมีความชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว ทุกคนก็ทราบ ส่วนกระบวนการนั้นต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายด้วย ซึ่งต้องทำให้ถูกต้อง
ธนกรกล่าวยอมรับว่า มีการชักชวนกลุ่มสามมิตร ประกอบด้วย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมย้ำว่ามีการพูดคุยกันอยู่ตลอด มีความคุ้นเคยกับทั้ง 3 รัฐมนตรี อย่างสมศักดิ์เอง ตนเองก็เป็นเด็กในบ้านอยู่แล้ว มีการพูดคุยกันเป็นเรื่องปกติและคุยกันตลอด แต่ในทางการเมืองนั้นสมศักดิ์เป็นผู้ใหญ่ จึงไม่สามารถไปก้าวล่วงอะไรได้ แต่ตนยอมรับว่ามีการชักชวน อยากให้ทั้ง 3 รัฐมนตรีได้มาช่วยงาน พล.อ. ประยุทธ์ เพราะมีความเชื่อมั่นว่า พล.อ. ประยุทธ์เป็นผู้ที่บริหารงานได้ และมีความซื่อสัตย์สุจริต
ขณะที่สมศักดิ์กล่าวถึงความชัดเจนของกลุ่มสามมิตร หลังจาก พล.อ. ประยุทธ์ มีท่าทีที่ชัดเจนขึ้นต่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่าขณะนี้ข้อมูลยังเป็นครึ่งๆ จะทำให้ตนเองตัดสินใจได้อย่างไร เพราะผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยก็เป็นผู้ที่เคารพรักทั้งนั้น หากพูดอะไรไป และการทำงานที่เรายังต้องทำอยู่ อาจจะต้องอึดอัดใจ ฉะนั้นอย่าให้ตนเองต้องพูดถึงทิศทางว่าจะตัดสินใจอย่างไร ทำให้เรายังทำงานให้กับผู้สนับสนุนของเราได้ พร้อมย้ำว่าอย่าให้ต้องพูดถึงทิศทางเลย เพราะยังมีเวลาในการทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่
“ท่านใดที่จะขยับ หรือรักใครชอบใคร สามารถแสดงออกได้ แต่ผมมีมาตรฐานของผม ยังไม่ถึงเวลาที่ผมต้องพูด” สมศักดิ์ย้ำ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน สมศักดิ์กล่าวว่าถ้ารัฐบาลอยู่ครบเทอม บุคคลที่ต้องการจะขยับขยายย้ายพรรคก็ต้องดำเนินก่อนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งทุกคนต่างทราบดี และยังมีเวลา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มสามมิตรจะไปทั้งหมดหรือไม่ สมศักดิ์กล่าวว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องของรายละเอียด และไม่มีความเห็นในทิศทางเดียวกัน รวมถึงยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการพลิกขั้วการเมือง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ธนกรยอมรับว่ามีการจีบกลุ่ม 3 มิตรเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ สมศักดิ์กล่าวว่า ไม่ต้องจีบตนหรอก เพราะว่าตนรู้จักคนในรัฐบาลทั้งหมดอยู่แล้ว
สำหรับวาระการประชุม ครม. ที่น่าสนใจ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเสนอมาตรการท่องเที่ยว โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอื่นๆ ในวงเงิน 4 พันล้านบาท ปรับลดวงเงินจากเดิม 8.7 พันล้านบาท โดยใช้งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วนปี 2566
