ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มาอยู่ที่ 2.5% (YOY) ลดลงจากที่ประมาณการไว้ก่อนหน้าที่ 3.0% พร้อมแนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ หากดิจิทัลวอลเล็ตไม่ผ่านด่านกฎหมายและงบประมาณล่าช้า
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า KResearch ตัดสินใจปรับลดมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 2566 เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงทางลง (Downside Risk) โดยเฉพาะในภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยว โดยเห็นได้จากรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง เนื่องจากกลุ่มและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้เงินต่อทริปน้อยลงและเที่ยวสั้นลง
“โดยเฉพาะกลุ่มคนมาเลเซียก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะ และมาแค่ช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เราหวังว่าจะมา กลับเจอปัญหาหลายเรื่อง เช่น เหตุการณ์ที่พารากอนและค่าตั๋วเครื่องบินที่ยังแพงอยู่ นอกจากนี้กรุ๊ปทัวร์จีนก็ยังไม่ค่อยมี จะมีแค่คนจีนกลุ่มวัยรุ่นขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ได้ใช้เงินเยอะเท่ากรุ๊ปทัวร์สมัยก่อน”
อย่างไรก็ตาม บุรินทร์เผยว่า ก็มีปัจจัยดีขึ้นกว่าการประมาณการครั้งก่อนคือภาคการส่งออก ซึ่งทั้งปีนี้คาดว่าจะติดลบเหลือเพียง -1.3% เท่านั้นจาก -2.5% ในประมาณการก่อนหน้านี้
สำหรับการบริโภคในไตรมาสที่ 3 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นมากกว่าปีก่อนราว 8% บุรินทร์มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานปีก่อนที่ต่ำ เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในมาตรการล็อกดาวน์บางส่วนอยู่
การเคลื่อนไหวของศูนย์วิจัยกสิกรไทยเกิดขึ้นหลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยตัวเลข GDP ไทยในไตรมาส 3/66 ขยายตัวต่ำกว่าคาดที่ 1.5% (YOY)
เศรษฐกิจไทยวิกฤตหรือยัง?
จากการถกเถียงที่เกิดขึ้นมากมายในสังคมไทยตอนนี้ว่า เศรษฐกิจไทยวิกฤตหรือไม่? บุรินทร์มองว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตเหมือนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหรือโควิด แต่เหมือนป่วยซึม แม้ไม่ได้ป่วยหนักขนาดเข้า ICU แต่ก็ไม่แข็งแรง
บุรินทร์ยังกล่าวเตือนรัฐบาลว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องจัดการ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้ระยะเวลาและปัญหาเฉพาะหน้า แต่การใช้คำว่าวิกฤตบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เสียความเชื่อมั่นได้
“ในความคิดของท่านนายกฯ วิกฤตอาจหมายถึงว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเข้าใจได้ เนื่องจากเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตอนนี้ไม่มี ส่งออกก็ไม่ดี การท่องเที่ยวก็ไม่ดี การบริโภคในประเทศก็ไม่ดี ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายๆ ตัวหยุดชะงักลง”
ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2567
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินอีกว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในอัตราที่เร่งขึ้นจากปี 2566 โดยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ แม้แรงส่งจะลดลงในปีหน้า
นอกจากนี้ภาคการส่งออกของไทยในปีหน้าก็คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ในแดนบวก โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยฐาน
อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2567 ก็คงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการบริโภคภายในประเทศให้ยังขยายตัวได้ ท่ามกลางค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะมีรายละเอียดประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ในงานแถลงข่าวประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ในวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2566 ต่อไป
จับตาการประชุม กนง. สัปดาห์หน้า
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะมีขึ้นในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายนนี้ บุรินทร์คาดการณ์ว่า กนง. จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้และไม่น่าปรับขึ้นแล้ว ส่วนที่ว่าจะปรับลดเมื่อไรยังเป็นคำถามต่อไป
กระนั้นบุรินทร์ยังมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถลดดอกเบี้ยได้แล้ว เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจมีสัญญาณความอ่อนแอทั้งในภาคการผลิต ภาคการท่องเที่ยวที่ก็ยังไม่กลับมา และปัญหาหนี้ครัวเรือน
“คราวที่แล้วที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยเราไม่ได้เห็นด้วย อย่างที่เห็นว่าตอนนี้เงินเฟ้อในประเทศก็ปรับตัวลดลงเรื่อยๆ จนติดลบ ถือเป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อตกกรอบเป้านโยบาย โดยตามหลักแล้วควรต้องรีบลดดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินเฟ้อขึ้นมา”
บุรินทร์กล่าวต่ออีกว่า “ตอนนี้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อติดลบทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Policy Rate) ค่อนข้างสูง และสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติตั้งไว้ ขณะที่คนก็เป็นหนี้เยอะ ทำให้ฉุดกำลังซื้อลงไปอีก”
แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยประคองเศรษฐกิจ
บุรินทร์ยังวิเคราะห์ต่อว่า ที่แบงก์ชาติตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยรอบก่อนเนื่องจากอาจจะประเมินว่าปีหน้าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ประเมิน GDP ปีหน้าไว้ที่ 4.4% ทำให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไป อย่างไรก็ตาม หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ผ่านด่านกฎหมาย แรงส่งเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไทยปีหน้าอาจจะน้อยลง แบงก์ชาติอาจต้องทบทวนว่าพร้อมจะลดดอกเบี้ยได้หรือยัง”
นอกจากนี้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้าไปราว 6 เดือน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในเดือนเมษายน ก็อาจทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอต่อ ดังนั้นหากนโยบายการคลังยังไม่มีเข้ามากระตุ้น อาจเป็นจังหวะให้นโยบายการเงินเข้ามาซัพพอร์ตได้
วิจัยกรุงศรีเล็งหั่นคาดการณ์ GDP
ในวันเดียวกันสำนักวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือวิจัยกรุงศรี ออกรายงานระบุว่า อยู่ระหว่างปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.8% จากปัจจัยลบที่ประกอบด้วย GDP ไตรมาส 3 เติบโตต่ำกว่าคาด รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยอาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 28.5 ล้านคน ซึ่งในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 22.2 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีแนวโน้มเติบโตเร่งขึ้นจาก 4 ปัจจัย ได้แก่
- ฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อนแล้ว
- แรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ทั้งค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและการเดินทาง รวมถึงมาตรการพักหนี้เกษตรกร
- การกระเตื้องขึ้นของภาคส่งออกในช่วงปลายปี
- การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลมองว่า แม้ปัจจุบันมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการออกมามากขึ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องติดตาม โดยยังต้องรออนุมัติตามกระบวนการการออก พ.ร.บ.เงินกู้จำนวน 5 แสนล้านบาท โดยเฉพาะมาตรา 53 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 “กำหนดให้การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน”
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาพอสมควร เริ่มตั้งแต่การตีความโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา การนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา (ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน แล้วจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบ) และการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงยังต้องติดตามพัฒนาการในแต่ละขั้นตอน ซึ่งจะมีผลต่อความคืบหน้าและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
