×

KKP แจ้งกำไรปี 66 ที่ 5.44 พันล้านบาท วูบ 28.4% เหตุตั้งสำรองเพิ่ม ขายรถยึดขาดทุน ตลาดทุนซบฉุดรายได้

22.01.2024
  • LOADING...

KKP ประกาศกำไรปี 2566 ที่ 5,443.40 ล้านบาท ลดลง 28.4% หลังตั้งสำรองเพิ่มขึ้นและมีผลขาดทุนจากการขายรถยึดจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงจากภาวะการลงทุนในตลาดทุนซบเซา ส่วนรายได้ดอกเบี้ยเติบโตตามการขยายตัวของสินเชื่อ

 

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP รายงานผลดำเนินงานปี 2566 มีกำไรสุทธิ 5,443.40 ล้านบาท ลดลง 28.4% จากช่วงเดียวกันปีของก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,602.09 ล้านบาท โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตและผลขาดทุนจากการขายรถยึดในส่วนของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง และปัจจัยทางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อ ประกอบกับธนาคารมีการขยายตัวของสินเชื่อในระดับสูง โดยมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวม ส่งผลให้ธนาคารได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างมาก ในขณะที่ธุรกิจทางด้านตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย

 

ธนาคารยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดี โดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 28,763 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 4.4% หากเทียบกับปี 2565 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น 16.8% ตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัวและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวที่ 5.3% นอกจากนี้ธนาคารยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในระดับที่ดีกว่าคาด

 

ในขณะที่ทางด้านรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงที่ 23.5% จากภาวะทางด้านตลาดทุนที่ยังคงซบเซาและส่งผลกระทบต่อการลงทุน ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลง โดยหลักจากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อ-ขายหลักทรัพย์ รวมถึงกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนที่ปรับลดลงตามภาวะตลาด ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าประกันก็ปรับลดลงเช่นกัน

 

ปี 2566 ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 6,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% หากเทียบกับปี 2565 โดยในจำนวนนี้ได้ร่วมการพิจารณาตั้งสำรองเพิ่มในไตรมาส 4/66 รองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสำหรับลูกค้าสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่งที่ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา โดยธนาคารอาจต้องมีการพิจารณาจัดชั้นเชิงคุณภาพสินเชื่อรายนี้ในอนาคต ซึ่งมีขนาดประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยธนาคารตั้งสำรองเพิ่มเป็นจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท รองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และส่งผลให้ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นครบถ้วนแล้วสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายนี้ก่อนการพิจารณาจัดชั้น

 

สำหรับอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 164.6% ปรับเพิ่มขึ้นจาก 154.4% ณ สิ้นปี 2565 ทางด้านคุณภาพสินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2566 ปรับลดลงอยู่ที่ 3.2% จาก 3.5% ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงจาก 3.3% หากเทียบกับสิ้นปี 2565

 

สำหรับไตรมาส 4/66 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 670 ล้านบาท ลดลง 53.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน 71 ล้านบาท โดยหลักจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่ปรับลดลง 46.8% จากไตรมาส 4/65 ซึ่งลดลงทั้งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ รวมทั้งรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากรายการขาดทุนจากการขายสินทรัพย์รอการขาย

 

ทั้งนี้ ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/66 มีการปรับตัวลดลง 30.9% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2565 หากพิจารณากำไรเบ็ดเสร็จรวมเท่ากับ 857 ล้านบาท เป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุนจำนวน 46 ล้านบาท

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising