×

KKP หั่นคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ 3.2% หวั่นราคาน้ำมันสูงทำเงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.2%

16.03.2022
  • LOADING...
KKP

KKP ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ปีนี้จาก 3.9% เหลือ 3.2% พร้อมปรับประมาณการเงินเฟ้อเพิ่มเกือบเท่าตัวจาก 2.3% เป็น 4.2% หลังราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากพิษสงครามยูเครน 

  

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงาน ‘เศรษฐกิจไทยเปราะบางแค่ไหนเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น’ โดยประเมินว่าจากผลของสถานการณ์ความความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน ทำให้ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกสูงขึ้น และเศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากมีการพึ่งพาพลังงานในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ 

 

ขณะเดียวกัน หากย้อนกลับไปช่วงที่มีการระบาดของโควิด ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงเช่นกัน โดยทั้งสองเหตุกาณ์สะท้อนภาพคล้ายกันว่าเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงภายนอกสูงมากหรือขาดความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่าเดิมมาก 

 

ลด GDP เหลือ 3.2% เงินเฟ้อพุ่งแตะ 4.2% 

จากปัจจัยข้างต้น KKP Research ได้ปรับการคาดการณ์ GDP ปี 2022 ในกรณีฐานเหลือ 3.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.9% โดยประเมินว่าความไม่แน่นอนต่อภาพแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีสูงขึ้นมาก จากผลกระทบของสถานการณ์ยูเครนและรัสเซีย และปรับประมาณการเงินเฟ้อเฉลี่ยจากที่เคยคาดไว้ที่ 2.3% สำหรับทั้งปี เป็น 4.2% จากต้นทุนราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น  

 

จากสถานการณ์ความขัดแย้งมีโอกาสยืดเยื้อ และประเทศตะวันตกอาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกพลังงาน KKP Research ประเมินว่าราคาน้ำมันจะแตะระดับสูงสุดที่ค่าเฉลี่ย 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2 และราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

โดยความไม่แน่นอนจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจจะกระทบทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลง โดยช่องทางหลักที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบคือ

 

  1. เศรษฐกิจในประเทศ: ในช่วงไตรมาส 2 ของปี เงินเฟ้อคาดว่าจะแตะระดับสูงสุดที่ 5.5% ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง 

 

  1. การส่งออก: การส่งออกชะลอตัวลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจยุโรปจะรับผลกระทบหนักกว่าภูมิภาคอื่น เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจรัสเซียมาก 

 

  1. นักท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการเปิดประเทศที่ทำได้ช้ากว่าคาด และเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบกว่าคาดนับเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย 

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายประเมินว่า มีโอกาสที่มาตรการคว่ำบาตรอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปีที่ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์และเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ซึ่งจะดันให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้นเป็น 5.1% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียง 2.7%   

 

น้ำมันแพงกระทบไทยมากกว่าประเทศอื่น   

KKP Research ประเมินว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อไทยมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาการใช้น้ำมันสูงไม่ต่างจากในอดีต ในขณะที่ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากตัวเลขอัตราการบริโภคพลังงานต่อ GDP หรือ Energy Intensity ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเพื่อการผลิตสินค้าและบริการ 

 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกค่อนข้างมาก ทั้งนี้ แม้ว่าไทยจะเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันมาแล้วในอดีตช่วงราคาน้ำมันแพง แต่โครงสร้างนโยบายยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและเพียงพอ 

 

ปัจจุบันไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าพลังงานสุทธิมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาค ทำให้เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ไทยจำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากขึ้นเพื่อนำเข้าน้ำมันและส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มเติมได้มาก โดยทุกๆ 10% ของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยขาดดุลเพิ่มเติมประมาณ 0.3-0.5% ของ GDP หรือเทียบเท่ากับการนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนถึง 1-1.6 ล้านคน 

 

ในหลายครั้งเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากขึ้นจะเห็นค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกันกับเงินเฟ้อของไทยที่ตอบสนองต่อราคาพลังงานมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคจากการบริโภคพลังงานในสัดส่วนที่สูงกว่าแม้จะมีมาตรการอุดหนุนราคาจากภาครัฐบางส่วนแล้วก็ตาม 

 

เงินเฟ้ออาจสูงขึ้นได้มากกว่าคาด 

KKP Research ประเมินอีกว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงผลกระทบในขั้นแรก แต่ยังมีโอกาสที่ราคาสินค้าอื่นๆ จะสูงขึ้นตามมาได้อีก ซึ่งเกิดจาก 2 ประเด็น คือ  

 

  1. ราคาน้ำมันทำให้ภาระทางการคลังสูงขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลค้าปลีกไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร และพยายามคงราคาก๊าซ LPG ผ่านเงินสมทบกองทุนน้ำมัน แต่เมื่อราคาดีเซลหน้าโรงกลั่นปรับเพิ่มขึ้นทำให้เงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นตาม โดยในกรณีฐานที่ราคาน้ำมันโลกอยู่ที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากไม่มีการปรับนโยบาย ภาครัฐอาจต้องใช้เงินสูงถึงเดือนละกว่า 2 หมื่นล้านบาท (หรือกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็น 1.8% ของ GDP) และทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันขาดดุลมากขึ้น 

 

อย่างไรก็ตามด้วยราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจทำให้ภาครัฐต้องลดระดับการอุดหนุนราคาน้ำมันและปล่อยราคาน้ำมันขึ้นบางส่วน  KKP Research ประเมินว่า หากไม่มีการอุดหนุนเลย ราคาน้ำมันดีเซลอาจเพิ่มขึ้นเป็น 38-40 บาทต่อลิตร จากที่ตรึงไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร ราคาก๊าซ LPG นั้นอาจปรับเพิ่มขึ้นเป็น 430 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จากที่รัฐบาลตรึงราคาไว้ที่ 313 บาท นอกจากนี้ราคาค่าไฟฟ้าและราคาสินค้าอื่นๆ ที่เป็นสินค้าควบคุมอาจมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามต้นทุน 

 

แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมราคาบางส่วนราคาอาหารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงปี 2004-2008 ไทยเคยเผชิญสถานการณ์เงินเฟ้อจากราคาพลังงานเร่งตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 28% ต่อปี แม้ว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นส่วนใหญ่ถูกควบคุมราคาตามมาตรการของกรมการค้าภายใน ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มโดยทั่วไปยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 6% 

 

โดยราคาสินค้าย่อยบางประเภทปรับตัวสูงขึ้นมาก เช่น ผักผลไม้เพิ่มขึ้นถึง 14% ข้าว 9% และเนื้อสัตว์ 7% เนื่องจากราคาพลังงานเป็นต้นทุนหลักในการขนส่งสินค้าเกษตร ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อรวม แม้เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ 

 

ทบทวนมาตรการระยะสั้น มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว 

ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงานกำลังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีความจำเป็นที่รัฐบาลอาจเข้าดูแลและบริหารจัดการ แต่ด้วยต้นทุนการคลังของการอุดหนุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังกลายเป็นความท้าทายต่อฐานะทางการคลังมากขึ้น และอาจจำเป็นต้องกลับมาทบทวนการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนใหม่อีกครั้ง ควรเน้นมาตรการที่ไม่เป็นการบิดเบือดตลาด ลดความเสี่ยงจากขาดแคลนสินค้าและการกักตุนสินค้า 

 

ขณะที่การอุดหนุนโดยการตรึงราคาน้ำมัน อาจไม่ใช่วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในภาวะที่ภาระการคลังสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการช่วยเหลือที่มีลักษณะบิดเบือนราคาตลาด ทำให้คนไม่ลดการใช้พลังงานลงเมื่อราคาแพงขึ้น และอาจเป็นการให้เงินอุดหนุนกับกลุ่มคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการอุดหนุน ทำให้ต้นทุนภาคการคลังสูงเกินไป นอกจากนี้มาตรการอุดหนุนราคาเป็นการช่วยเหลือคนทุกกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มผู้มีฐานะที่ใช้รถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนของภาครัฐสูงเกินความจำเป็น  

 

KKP Research มองว่าการพิจารณาหากลไกที่ช่วยคัดครองผู้ได้รับผลกระทบและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายการคลังและลดผลกระทบได้จริงในระยะยาว นอกจากนี้ต้นทุนภาระทางการคลังในการอุดหนุนราคาน้ำมันกำลังจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ยิ่งทำให้การใช้ทรัพยากรภาครัฐมีความจำเป็นต้องใช้อย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ในระยะยาวมีความจำเป็นในการปรับโครงสร้างให้เศรษฐกิจใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการพึ่งพาพลังงานเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising