×

‘เกียรตินาคินภัทร’ หวัง ‘บลูเวฟ’ ดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฉลุย

04.11.2020
  • LOADING...
เกียรตินาคินภัทร พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

‘เกียรตินาคินภัทร’ แนะเกาะติด ‘บลูเวฟ’ ระบุหากสหรัฐฯ มีรัฐบาลควบ 2 สภาจะส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูง 

 

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า นอกจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว นักลงทุนทั่วโลกยังติดตามเรื่องผลการเลือกตั้งของสภาสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา การมีสองสภาที่มาจากพรรคที่ต่างกันเป็นปัญหาของสหรัฐฯ มาตลอด ซึ่งจะส่งผลต่อการขานรับและนำใช้นโยบายต่างๆ 

 

“ในรอบนี้ถ้าไบเดนชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดี แต่สภาสูงไม่มา ก็จะเกิดปัญหาเดิมๆ ในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นหากรอบนี้ได้บลูเวฟ การผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ ก็จะง่ายขึ้น” 

 

ทั้งนี้แนะนำให้เกาะติด 4 ปัจจัยคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐอเมริกา, เรื่องนโยบายการค้ากับนานาประเทศ, เรื่องความสัมพันธ์กับจีน และเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งแม้ว่าทั้งสองผู้ท้าชิงจะมีเป้าหมายเดียวกันคือพัฒนาและสร้างการเติบโตให้กับสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง แต่วิธีการต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

 

โดยปัจจัยแรกคือเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หาก โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้ง ก็น่าจะได้เห็นมูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ ที่มหาศาล แหล่งเงินทุนจะมาจากการเก็บภาษีภาคเอกชน และภาษีตลาดทุนที่สูงขึ้น 

 

ส่วนปัจจัยที่ 2 เรื่องนโยบายการค้ากับนานาประเทศ หาก โจ ไบเดน ได้ น่าจะได้เห็นการเจรจาการค้าต่างๆ กับนานาประเทศเยอะขึ้น และจะได้เห็นสหรัฐฯ เจรจาการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่นๆ สูงขึ้น

 

ปัจจัยที่ 3 ความสัมพันธ์กับจีน เรื่องนี้มีความชัดเจนเหมือนกันทั้ง 2 ผู้สมัคร คือมองประเทศจีนเป็นศัตรูอันดับ 1 ทั้งนี้หาก โจ ไบเดน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เราจะได้เห็นรูปแบบและวิธีการกีดกันหรือกดดันทางการค้าที่มีแบบแผนขึ้น รวมถึงจะเห็นสหรัฐฯ เริ่มหาพันธมิตรและจับกลุ่มกันกีดกันประเทศจีน ซึ่งเรื่องของกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ หรือวิถีสากลต่างๆ เป็นเรื่องที่เราติดตามเช่นกัน 

 

“แต่ถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตามที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้ตลอดตอนที่หาเสียง ซึ่งในมุมนักเศรษฐศาสตร์ การที่ทุกอย่างเหมือนเดิม ก็เท่ากับเราจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอยู่เหมือนที่เจอมาตลอด 2 ปี” 

 

พิพัฒน์กล่าวเพิ่มว่า การเปลี่ยนประธานาธิบดีก็คือการเปลี่ยนนโยบาย เพราะนโยบายของทั้งสองคนเขากลับด้านกัน เพราะฉะนั้นเรายังติดตามสถานการณ์ก่อนการลงทุน และเข้าใจสินทรัพย์ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising