×

จาก Montreux ถึง Vevey ลัดเลาะเที่ยวเมืองเล็กริมทะเลสาบเจนีวา ละแวกใกล้กับโลซานน์ ที่รัชกาลที่ 9 เคยประทับ

07.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. read
  • ทะเลสาบเจนีวา เป็นทะเลสาบน้ำจืดมีชื่อ กินพื้นที่คาบเกี่ยว 2 ประเทศคือฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลและอยู่ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ ทำให้เมืองต่างๆ รอบทะเลสาบเจนีวากลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนทั้งสองประเทศ
  • Château de Chillon และริมน้ำตรง Place du Marché เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองมองเทรอซ์ที่ห้ามพลาด ส่วนไร่ไวน์ที่ Chexbres Village ถ้าไม่ได้เยือนก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองเวอแว

     เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เราจะเจอวิวทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งมีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนในสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีภูมิประเทศงดงามติดอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของสวิสก็มีทะเลสาบนับร้อยให้นั่งชื่นชมเอกเขนก

     ทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) เป็นหนึ่งในจำนวนดังกล่าว ทะเลสาบน้ำจืดมีชื่อที่กินพื้นที่คาบเกี่ยว 2 ประเทศคือฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลและอยู่ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ (Alps) ทำให้เมืองต่างๆ รอบทะเลสาบเจนีวากลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนทั้งสองประเทศ

     ในสวิส ขอบเขตของทะเลสาบกินพื้นที่หลายเมือง ตั้งแต่มองเทรอซ์ (Montreux) ผ่านเวอแว (Vevey) โลซานน์ (Lausanne เมืองซึ่งพระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดชเคยประทับในวัยเยาว์) ไปจบที่เมืองเจนีวา (Geneva) ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ

     ก่อนจะไปตามรอยแวะเยี่ยมสถานที่ประทับในรัชกาลที่ 9 ที่เมืองโลซานน์ในสัปดาห์หน้า บทความนี้ผู้เขียนจะพาคุณพักเบรกลงจากรถไฟ แล้วไปเที่ยวยังสองเมืองเล็ก ‘มอนเทรอซ์’ และ ‘เวอแว’ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ประทับไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี

 

โขดหินจมูก

     ‘มองเทรอซ์’ เป็นเมืองเล็กๆ ริมน้ำทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับสายรถไฟทางตะวันออกของประเทศ เราเดินทางสู่มองเทรอซ์ด้วยรถไฟสาย Golden Pass รถไฟชมทิวทัศน์แบบพาโนรามา จากเมืองอินเทอร์ลาเกน (Interlaken) ที่ให้บริการที่นั่งชั้นหนึ่ง ไวน์ท้องถิ่นรสเยี่ยม และวิวตระการตาตลอดระยะทางกว่า 3 ชั่วโมง

     นักเดินทางทุกคนจะได้รับ Montreux Riviera Card สำหรับใช้โดยสารขนส่งสาธารณะในเมืองฟรีตั้งแต่วันที่เข้าพักจนถึงวันเช็กเอาต์ เก็บเอาไว้ใช้ในกรณีที่คุณไม่ได้ซื้อ ‘สวิสพาส’ (Swiss Pass) ตั๋วเดินทางแบบเหมาจ่ายซึ่งใช้ได้ทั้งรถบัส เรือ และรถไฟทั่วประเทศสวิตเซอร์แลนด์

     หลังจัดการกับสัมภาระเรียบร้อย สถานที่แรกที่ปักหมุดชมคือ Château de Chillon ปราสาทเก่าแก่ของตระกูลซาวอย (House of Savoy) สร้างขึ้นเพื่อเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางระหว่างเทือกเขาแอลป์ การเดินทางมาเยี่ยมชมสามารถมาได้ทั้งทางรถและทางเรือ ทางรถนั่งรถประจำทางสาย 201 Villenueve มาลงที่หน้าปราสาท หรือทางน้ำขึ้นได้บริเวณท่า Place du Marché ลานกลางเมืองติดริมน้ำในตัวเมืองมองเทรอซ์

 

บรรยากาศภายในปราสาท

ห้องชั้นใต้ดินไว้คุมขังนักโทษ

 

     Château de Chillon ตั้งสงบอยู่ริมน้ำมานานกว่า 800 ปี เป็นหนึ่งในสมบัติจากยุคกลางที่สมบูรณ์ที่สุด ด้านหน้าปราสาทติดถนนเป็นป้อมปราการใหญ่โตโอ่อ่า มีหอคอย 3 ยอด เชื่อกันว่าเป็นที่พักของท่านเคานต์แห่งซาวอย ถ้าอยากเดินให้ครบควรมีเวลาอย่างต่ำครึ่งวัน

     ไกด์อิเล็กทรอนิกส์ (Audio Guide) แนะนำให้เราเดินชมปราสาทด้วยการไล่เรียงหมายเลข เริ่มจากหมายเลข 1 ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงโมเดลจำลองปราสาท ก่อนต่อไปยังชั้นล่างสุด คุกเก่าจองจำนักโทษ จนไปถึงหมายเลข 46 ซึ่งเป็นหมายเลขสุดท้าย ผ่านห้องรับประทานอาหาร ห้องทำเฟอร์นิเจอร์ประจำปราสาท ห้องนอน ห้องประชุม ยันโบสถ์ขนาดเล็กบนชั้นสูง โดยทุกห้องจะมีนิทรรศการขนาดย่อมที่บรรยายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนั้นๆ บางห้องก็มีของโบราณจัดแสดงให้ชมจริงๆ บางห้องก็เป็นของใหม่ที่สร้างจำลองของเก่ามาช่วยสร้างบรรยากาศ

 

(ซ้าย) ภาพวาดเฟรสโกที่ผนังโบสถ์ในปราสาท (ขวา) ทางเดินในเขตรั้ว

เสื้อเกราะอัศวิน

 

     นอกจากเป็นสถานที่สำคัญจากยุคกลาง Château de Chillon ยังเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินคนดังหลายท่าน เช่น ลอร์ด ไบรอน (Lord Byron) กวีและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของ ฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด (François Bonivard) พระสงฆ์และนักประวัติศาสตร์ชาวเจนีวา ผู้ถูกคุมขังอยู่บริเวณเสาต้นที่ 3 ของคุกมาแต่งกวีเรื่อง The Prisoner of Chillon เป็นอาทิ

 

 

     บริเวณรอบปราสาทยังเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ มีต้นไม้ใหญ่และสัตว์น้ำนานาชนิด ในวันหยุดสุดสัปดาห์จึงคราคร่ำไปด้วยผู้คน บ้างก็หอบอุปกรณ์มาตกปลา บ้างก็หาร่มไม้ใหญ่ปูเสื่อปิกนิก ฯลฯ

 

     ในหนังสือ ‘เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์’ ซึ่งพระราชนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในรัชกาลที่ 9 มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า

 

     “ระหว่างที่อยู่ที่ Les Pléiades พระองค์เล็กได้วาดรูปภูเขาที่เห็นได้ชัดจากที่นั่นส่งไปให้แม่ทางไปรษณีย์ ภูเขาลูกนั้นชื่อ Rochers de Naye ซึ่งแปลว่า ‘โขดหินเนย์’ เนย์ไม่มีความหมาย เป็นเพียงชื่อ แต่พระองค์เล็กบรรยายภาพว่า Rochers de Nes ซึ่งออกเสียงเหมือนกัน แต่แปลว่า ‘โขดหินจมูก’ ”

 

     ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อนานมาแล้ว และไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้มาเยือนภูเขา ‘โขดหินจมูก’ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยวาดภาพฝีพระหัตถ์ถวายแด่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในรัชกาลที่ 9

 

     บนยอดเขา Rochers de Naye เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน จนคิดว่าไม่ใช่ฤดูใบไม้ผลิ

     บรรยากาศภายในรถไฟ พอใกล้ถึงยอดก็เริ่มเห็นหิมะปกคลุม ผู้โดยสารในรถไฟก็น้อยลงด้วย

 

     Rochers de Naye เป็นหนึ่งยอดเขาสูงในเทือกเขาแอลป์อันอยู่ในความดูแลของเมืองมองเทรอซ์ การขึ้นไปต้องนั่งรถไฟแบบฟันเฟืองไต่ระดับจนถึงความสูง 1,982 เมตร ด้วยความซึ่งวันที่เราไปเป็นวันหยุด จำนวนคนในโบกี้จึงหนาแน่นเป็นพิเศษ เห็นหลายคนจัดเตรียมอุปกรณ์ปิกนิกมาครบครัน บางกลุ่มแก๊งก็ขนจักรยานเสือภูเขามาปั่นกันด้วย จากตีนเขาสู่ยอดใช้เวลาเพียง 55 นาทีก็ถึงที่หมาย

 

วิวจากยอดเขา Rochers de Naye

 

     แม้อากาศบนพื้นราบในช่วงเดือนพฤษภาคมจะร้อนราว 25-28 องศาเซลเซียส แต่ยอดเขา Rochers de Naye ยังคงปกคลุมด้วยหิมะเช่นเดียวกับหลายๆ ยอดเขาในสวิตเซอร์แลนด์ ด้านบนเป็นลานโล่งกว้าง มองเห็นทะเลสาบเจนีวาไกลพอๆ กับยอดเขา Jura มีเทือกเขาซาวอย เมือง Dents du Midi และภูมิภาค Trient อยู่ด้านซ้าย ตามจุดต่างๆ มีเก้าอี้และเดย์เบดไว้ให้นั่งผึ่งแดดรับไออุ่นของฤดูใบไม้ผลิได้อย่างเต็มที่ ฉันนั่งอาบแดดนอนชมวิวอยู่พักใหญ่ เมื่อเสียงท้องเริ่มประท้วงจึงตัดสินใจฝากท้องไว้ยังร้านอาหารด้านในตัวอาคาร ซึ่งมีให้เลือกสองบรรยากาศ ได้แก่ คาเฟ่แบบง่ายๆ บนชั้น 2 และร้านอาหารหรูเสิร์ฟเป็นคอร์สครบสูตร ใครเลือกอย่างหลังต้องเดินลอดอุโมงค์ถ้ำเพื่อไปยังอีกฟากของตัวอาคาร ทว่าวิวสวยไปอีกแบบ

 

ชาวสวิสมานั่ง-นอนรับไอแดดอุ่น

ที่พักบนยอด Rochers de Naye เห็นครั้งแรกนึกว่าอยู่มองโกเลีย

 

     นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเยือน Rochers de Naye ส่วนใหญ่มีแต่ชนชาติสวิส น้อยมากที่จะเห็นคนต่างถิ่นเช่นเรา และอาจด้วยเหตุนี้กระมัง ที่พักหนึ่งเดียวบนยอดเขาจึงไม่ใช่โรงแรมระดับมากดาว แต่เป็นเต็นท์แคมป์ประดับประตูลวดลายแบบมองโกล สามารถออกมานั่งก่อกองไฟใต้ดาวนับล้านในฤดูร้อน

 

     บริเวณ Place du Marché จะมีท่ายื่นออกไปในทะเลสาบ ชาวสวิสชอบมานั่งคุย ตกปลา หรือกระโดดลงน้ำ

 

เมืองแห่งแจ๊ซ

     มองเทรอซ์ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งแจ๊ซ เพราะมีเทศกาลแจ๊ซจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีบุคคลมีชื่อเสียงทางวงการดนตรีแวะเวียนมาเยือนไม่ขาดสาย และยิ่งหากคุณไปเดินเล่นริมทะเลสาบก็จะเจอสัญลักษณ์ของดนตรีแจ๊ซเต็มไปหมด

 

     ของที่ระลึกเกี่ยวกับดนตรีแจ๊ซเต็มเมือง

 

     ในช่วงเย็นวันหยุด ชาวเมืองมองเทรอซ์ชอบออกไปนั่งเอ้อระเหย ณ บริเวณ Place du Marché ลานกลางเมืองริมน้ำ แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร และสถานหย่อนใจ สถานที่ตั้งอนุสาวรีย์เฟรดดี เมอร์คิวรี (Freddie Mercury) นักร้องนำวง Queen วงร็อกในตำนานที่หลงใหลบรรยากาศของมองเทรอซ์จนตัดสินใจทำเพลงหลายอัลบั้มกันที่นี่ ในแต่ละวันจึงมีแฟนเพลงหอบดอกไม้มาไว้อาลัยเต็มไปหมด

 

(ซ้าย) อนุสาวรีย์เฟรดดี เมอร์คิวรี (ขวา) งานประติมากรรมตัวแทนของดนตรีแนวบลูส์

 

     ตลอดเส้นทางริมน้ำหลายกิโลเมตร คุณจะเจอทั้งผู้ใหญ่สูงอายุนั่งตกปลาริมน้ำรอบๆ ทะเลสาบ ลูกเด็กเล็กแดงจับกลุ่มวิ่งเล่นให้เวียนหัว เหล่าวัยรุ่นนั่งพูดคุยตามคาเฟ่ หรือไม่ก็เลือกจับกลุ่มเปิดเพลงชิลล์อยู่ริมน้ำระหว่างทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ บรรยากาศโดยรวมครึกครื้น แต่ก็ชิลล์มาก ยิ่งช่วงยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังอัสดง การซื้อเครื่องดื่มแก้วโปรดมานั่งละเลียดชมบรรยากาศ ดูพระอาทิตย์ตกน้ำ ก็เป็นกิจกรรมง่ายๆ ปิดท้ายวันที่ดีเช่นกัน

 

 

เที่ยวไร่องุ่น แวะบ้านชาร์ลี แชปลิน ที่ Vevey

     เวอแว เป็นเมืองเล็กที่อยู่ระหว่างมองเทรอซ์กับโลซานน์ รู้จักกันดีในชื่อเมืองของ ‘ชาร์ลี แชปลิน’ (Charlie Chaplin) เนื่องจากนักแสดงตลกชื่อดังเลือกใช้วาระสุดท้ายของชีวิตกว่า 25 ปีที่เมืองนี้ ปัจจุบันอาณาเขตบ้านเก่าของแชปลินถูกแปรเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์นาม Chaplin’s World โดยบ้านหลังเก่าจัดแสดงและจำลองวิถีชีวิตจริงของครอบครัวแชปลิน ส่วนหลังใหม่ก็สร้างเพิ่มเติมเพื่ออรรถรสในการเรียนรู้อัตชีวประวัติและผลงานของแชปลิน  

 

 

     ฉันเป็นคนไม่นิยมเที่ยวพิพิธภัณฑ์ประดิษฐ์ในลักษณะนี้ เนื่องจากรู้สึกเข้าไม่ถึงและน่าเบื่อเกินไป แต่ Chaplin’s World นั้นผิดคาด ตัวนิทรรศการเริ่มต้นที่วิดีโอบอกเล่าอัตชีวประวัติ ก่อนเข้าสู่ส่วนของโรงละคร ซึ่งจำลองฉากต่างๆ อิงกับภาพยนตร์ของแชปลินที่เคยออกฉาย นักท่องเที่ยวสามารถจำลองเหตุการณ์และสนุกได้จริง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กที่เอียงไปมาได้ตามน้ำหนัก ฉากล้อเลียนทหารนาซี หรือคุกนักโทษซึ่งมุดเข้าออกได้ตามใจฉัน ด้วยการจำลองแบบอินเทอร์แอ็กทีฟนี่แหละ Chaplin’s World จึงมีลักษณะคล้ายส่วนสนุก ไม่น่าเบื่อ และเข้าถึงผู้คนได้ง่าย

 

วิวทะเลสาบ มองจากจุดชมวิวของ Chexbres Village

 

     จาก Chaplin’s World ไปไม่ไกล เป็นสถานที่ตั้งของ Chexbres Village ณ เมืองลาโวซ์ (Lavaux) ถือว่าเป็นสวรรค์บนดินของคนรักองุ่นและไวน์รสเลิศ เนินเขาริมฝั่งทะเลสาบเจนีวาครอบคลุมพื้นที่จากเมืองเวอแวไปจนถึงเมืองโลซานน์ เรียงรายด้วยไร่องุ่นยาวเชื่อมต่อกันเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร ถือเป็นแหล่งทำไร่องุ่นและผลิตไวน์ที่โด่งดังจนได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก

 

บรรยากาศในตัวเมืองเก่า เล็กๆ น่ารัก เดินกันทั่วถึง มีทั้งโบสถ์และโรงไวน์

แปลงองุ่นวัยเยาว์

 

     การเที่ยวชม ถ้าไม่อยากเดินจนเมื่อยแบบไม่รู้ทิศทาง แนะนำให้ซื้อบริการทัวร์รถราง ณ บริเวณสถานีรถไฟ Chexbres Village โดยเริ่มจากตัวเมืองเก่าลัดเลาะสู่ไร่องุ่นริมทะเลสาบ แวะพักชิมไวน์ดังตามชาโตว์แต่ละหลัง ชี้ชวนให้ดูสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในหมู่บ้าน และปิดท้ายทริปด้วยวิวไร่องุ่นตามจุดต่างๆ

     ข้อเสียหนึ่งเดียวของการทัวร์คือไกด์ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษากลาง ทำให้ฉันแทบฟังอะไรไม่รู้เรื่อง ทว่าวิวสองข้างทางและรสไวน์ชั้นเลิศก็ทำให้ปลื้มปริ่มตลอดเส้นทาง จากไร่ไวน์มองเห็นทะเลสาบเจนีวาและวิวเมืองทอดไกลถึงมองเทรอซ์และโลซานน์ตามแต่ทิศ ตามตัวเมืองก็มีร้านน่ารักและโบสถ์เก่าแก่ให้เยี่ยมชม ระหว่างทางฉันเห็นคนพื้นถิ่นวิ่งออกกำลังอยู่ตามถนนเล็กเลียบไร่องุ่น บ้างก็พาสุนัขมาวิ่งเล่น พอมองดูแล้วก็อยากทำบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ไหว เพราะเนินเขาช่างลาดชัน

 

หน้าตาของรถรางพาชม

จุดชมวิวสวยมาก จอดตรงไหนก็สวยไปหมด

วิวทะเลสาบหันไปทางเมืองโลซานน์

 

     ทริปนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์ แต่เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจแวะเที่ยวสองเมืองเล็กรอบทะเลสาบเจนีวา ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ที่แนะนำเส้นทาง Grand Swiss ให้เรา แม้จะแวะเที่ยว มองดูผู้คน และใช้ชีวิตอยู่ในมองเทรอซ์และเวอแวเพียง 3 วัน จากทั้งหมด 14 วันในทริป แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่แสนประทับใจและอยากจะแวะกลับไปเจาะลึกให้มากกว่านี้

 

Photo: พลอยจันทร์ สุขคง

FYI

Getting There

สายการบิน Swiss Air มีเที่ยวบินตรงสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทุกวัน ตรวจสอบตารางบินได้ที่ www.swissair.com

 

Where to Stay

Tralala Hotel: www.tralalahotel.ch

Astra Hotel: www.astra-hotel.ch

 

More Info

  • ที่ปราสาท Château de Chillon มี Audio Guide ให้บริการฟรี เพียงแต่ต้องนำพาสสปอร์ตไปแลก โดยจุดแลกอยู่ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว บริเวณเดียวกับร้านขายของที่ระลึก ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก www.chillon.ch
  • เที่ยว Chaplin’s World ควรใช้เวลาอย่างต่ำ 2 ชั่วโมง ค่าตั๋วและวิธีเดินทางดูได้ที่ www.chaplinsworld.com
  • ภูเขา Rochers de Naye ในฤดูใบไม้ผลิยังต้องเตรียมเสื้อกันหนาว ถ้าจะขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขา เห็นด้านล่างยอดหญ้าเขียว ต้นไม้ผลิดอก แม้ความจะสูงจะต่ำกว่ายอดดอยอินทนนท์บ้านเรา แต่ความหนาวต่างกันลิบลับ เช็กราคาตั๋วรถไฟได้ที่ www.goldenpass.ch
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising