TASTE: ‘Khaam Khaoyai’ คาเฟ่มัทฉะที่ยกเสน่ห์ของวัฒนธรรมการดื่มชามาคู่กับต้นมะขามและทิวทัศน์เขาใหญ่

“เราไม่ได้อยากทำให้ ‘ขาม’ เป็นเหมือนญี่ปุ่นจำลอง เพราะที่นี่คือเขาใหญ่ ผู้คนที่เขามาเที่ยวก็คงอยากจะสัมผัสวิวทิวทัศน์ของเขาใหญ่ ซึ่งก็คือภูเขา ดังนั้นคอนเซปต์ของร้านเราจึงเน้นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเป็นหลัก หรือสิ่งที่อยู่ในพื้นที่ของเราอย่างต้นมะขามและวิวเขา มาผสมผสานกับเสน่ห์ของวัฒนธรรมการดื่มชาแค่นั้นเอง” ปอ-สุพิชญา คุปพิทยานันท์ เจ้าของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในโซนปากช่อง-เขาใหญ่ เริ่มเล่าให้เราฟังถึงคาเฟ่มัทฉะ Khaam Khaoyai แห่งใหม่ของเธอ

ก่อนหน้านี้ปอเคยมีหลายร้านอาหารและคาเฟ่ในเขาใหญ่อยู่แล้วอย่างร้านกาแฟสเปเชียลตี The Creek และ KEeEN Khaoyai ร้านอาหารสไตล์คาเฟ่ ‘จ้ำเข่า’ และ ‘เฮา’ รวมไปถึงร้านขนมหวานและคุกกี้ออนไลน์อย่าง Milktain ก่อนจะเปิดคาเฟ่สเปเชียลตีมัทฉะแห่งนี้เป็นธุรกิจล่าสุดของเธอ

จุดเริ่มต้นของการเปิดคาเฟ่สเปเชียลตีมัทฉะของปอ มาจากมุมมองของเธอว่ามัทฉะมีผู้บริโภคเยอะเทียบเท่ากับกาแฟสเปเชียลตี โดยเฉพาะกลุ่มคนรักมัทฉะที่ดื่มมัทฉะในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง รวมไปถึงกลุ่มมัทฉะที่หลงใหลในวัฒนธรรมของชาที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้เธอรู้สึกว่ามัทฉะไม่ใช่เพียงเมนูทางเลือกในคาเฟ่อีกต่อไป เลยอยากศึกษาเกี่ยวกับมัทฉะและนำเสนอมันอย่างจริงจัง

ป้ายทางเข้าร้าน

“จริงๆ ร้าน Khaam นั้น เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับธุรกิจที่เราเปิดมาทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เพราะทุกๆ ธุรกิจอย่าง The Creek ก็มีที่มาจากความรักในการกินขนม และแพสชันในการชอบทำขนมของเรา ในขณะที่ KEeEn เอง ก็เกิดขึ้นได้เพราะตัวเราเองเป็นคนชอบดื่มกาแฟสเปเชียลตีและอินหนักมาก ชอบดื่มจับเทสโน้ตในทุกๆ แก้ว พร้อมเปิดมาลบคำสบประมาทอย่าง ‘วิวแจ่ม กาแฟจืด’ ที่นักท่องเที่ยวหลายๆ คนได้เคยพูดเอาไว้ ไปจนถึงธุรกิจร้านอาหารอย่าง ‘เฮา’ ที่ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากคุณพ่อคุณแม่ของเราอีกนั่นแหละ” ปอเล่าต่อ

เมนูมัทฉะลาเต้แบบ Cold Whisk และบรรยากาศภายในร้าน

เพราะการเริ่มต้นจากศูนย์ จึงทำให้ปอต้องพยายามมากกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของการค้นคว้าหาความรู้ ตั้งแต่การอ่านข้อมูลจากรีวิว บล็อกเกอร์ หรือการลงเรียนคอร์สเวิร์กช็อปมัทฉะและคอร์สชาสำหรับคาเฟ่โดยเฉพาะ ไปจนถึงการตระเวนชิมร้านมัทฉะทุกร้านตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทั้งในคาเฟ่แบบสเปเชียลตีมัทฉะ และแบบที่ไม่สเปเชียลตีแต่มีเสียงลือมาว่าไม่ธรรมดาหรือควรกลับไปซ้ำ สู่การนำมาคิดค้นและพัฒนาสูตรเครื่องดื่ม-ขนมหวาน รวมไปถึงการเลือกทุกๆ หมวดหมู่เมนูที่จะถูกวางขายภายในร้าน ซึ่งจะต้องแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของร้านและความตั้งใจในการนำเสนอเมนูมัทฉะต่างๆ ให้ผู้ที่แวะเวียนได้เข้าถึงทุกๆ เมนูได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

เมนู A Khaam (150 บาท) และเมนู Matcha Banoffee (150 บาท)

ในเมื่อชื่อร้านและเอกลักษณ์ที่ว่านั้นมีที่มาจากต้นมะขาม จึงทำให้เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านจะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากมัทฉะน้ำมะขาม A Khaam (150 บาท) หรือมัทฉะสายพันธุ์โอคุมิโดริ (Okumidori) จากเมืองอูจิ จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาชงร้อน เสิร์ฟคู่ไปกับน้ำมะขามที่ถูกท็อปด้วยบ๊วย ซึ่งจะช่วยเติมความสดชื่นได้ดี พร้อมทั้งยังให้รสชาติที่ครบรส ไม่ว่าจะเป็นความเขียวชอุ่มอมเค็มสาหร่ายทะเลจากมัทฉะ ความเปรี้ยวอมหวานจากน้ำมะขาม ไปจนถึงความเค็มเล็กๆ ที่มาจากตัวบ๊วยเอง ทานคู่กับขนมสักชิ้น หรือ Matcha Banoffee (150 บาท) ที่ให้ความหวานจากกล้วยและคาราเมล ความละมุนปนขมชาของชั้นมัทฉะกานาช มาพร้อมเท็กซ์เจอร์ที่กรุบกรอบฉ่ำเนยจากตัวฐานอย่างโอริโอ้ ก็เรียกได้ว่าเป็นเซ็ตเมนูที่จับคู่กันแล้วลงตัวสุดๆ

เมนูมัทฉะลาเต้เสิร์ฟในถ้วยเย็น พร้อมเมนูขนมหวานมัทฉะ

นอกจากเมนูซิกเนเจอร์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้ไปเยือนร้านขามแล้วนั้น แน่นอนว่าเมนูยอดฮิตอย่างมัทฉะลาเต้ก็มีมาให้ได้เลือกสรรถึง 4 ตัวในการเบลนด์ 4 สไตล์เลยเช่นกัน และนอกจากนี้เองก็ยังมีรูปแบบการชงทั้งในแบบ Latte (เริ่มต้น 130 บาท) การตีมัทฉะด้วยน้ำร้อนราดลงบนนม ให้รสชาติมัทฉะที่ชัดเจน แต่เมื่อคนให้เข้ากันแล้วก็จะให้ความเบาสบายในการดื่ม และในแบบ Cold Whisk (เริ่มต้น 130 บาท) มัทฉะที่ถูกนำมาตีด้วยนมเย็นโดยตรง ให้สัมผัสของโน้ตชาและนมที่หนักแน่นเข้ากันได้ดีมาให้ได้เลือกสั่งกันอีกด้วย

เมนู House Blend No.002 (ราคา 180 บาท) และ House Blend No.003 (ราคา 150 บาท) และบรรยากาศสวนภายในร้าน

หากพูดถึงเมนูมัทฉะลาเต้ที่ขายดิบขายดีของทางร้านก็เห็นจะเป็นเมนูมัทฉะ House Blend No.002 และ No.003 ที่มาในรูปแบบการชงแบบ Cold Whisk ซึ่งเมื่อถูกเสิร์ฟในถ้วยมัทฉะปั้นดินเผาแล้วนั้นก็จะให้สัมผัสที่นุ่มนวล ดื่มเพลิน ได้โน้ตชาที่ชัดเจน อย่าง House Blend No.002 (ราคา 180 บาท) หรือมัทฉะเบลนด์จากจังหวัดเกียวโตและฟุกุโอกะ ซึ่งจะให้โน้ตโกโก้ ดาร์กช็อกโกแลต ที่มีความหอมถั่วเบาๆ เป็นเบส ก่อนจะได้ความหอมคล้ายขนมข้าวพองตามขึ้นมาในช่วงท้ายๆ ของทุกอึก ในขณะเดียวกัน House Blend No.003 (ราคา 150 บาท) มัทฉะเบลนด์จากจังหวัดมิเอะ ก็จะให้เอกลักษณ์ความหอมของดอกไม้และความหวานละมุนของวานิลลาออกมาอย่างเด่นชัดด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ การดื่มมัทฉะจากถ้วยดื่มเช่นนี้ก็จะให้รสชาติ โน้ตชา และสัมผัสที่แตกต่างออกไปจากแก้วทั่วไปหรือแก้วพลาสติกแบบ Take Away อีกด้วย และถ้าหากใครที่เป็นสายดื่มแบบเฮลตี้หรืออย่างเมนูชาไม่ใส่นมนั้น ก็ยังสามารถสั่งมัทฉะเบลนด์ทั้ง 4 ตัวนี้ในรูปแบบเมนู Clear (เริ่มต้น 100 บาท) ได้เช่นกัน

เมนู Matcha Bamboo Melt (ราคา 120 บาท) และบรรยากาศสวนภายในร้าน

เพราะบรรยากาศดีๆ กับช่วงเวลาที่ไม่ต้องรีบร้อน ทำให้เราสามารถค่อยๆ จิบมัทฉะ พร้อมชมวิวทิวทัศน์และการตกแต่งร้านทั้งในมุมและโซนต่างๆ ได้อย่างสบายใจ รวมไปถึงยังสามารถสั่งขนมอย่าง Matcha Bamboo Melt (ราคา 120 บาท) มาลิ้มลองกันต่อได้ ซึ่งเมนูนี้ก็จะให้รสชาติหวานนวลคล้ายมัทฉะลาเต้ ที่มีเนื้อเค้กนุ่มๆ และข้าวคั่วเก็นไมฉะเพิ่มขึ้นมาช่วยตัดเลี่ยน เพิ่มความหอม และเท็กซ์เจอร์ที่เคี้ยวสนุกกรุบกรอบได้อย่างดี

เมนู Honey Yuzu Fizz (ราคา 150 บาท) และเมนู Sunrise (ราคา 150 บาท)

และสำหรับใครที่ชื่นชอบเมนูเครื่องดื่มแบบสดชื่น เมนูมัทฉะแบบฟิวชัน หรือใครที่กำลังมองหาเมนูปิดท้ายก่อนเดินทางกันต่อ ทางร้านขามก็ยังมีอีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Sunrise (ราคา 150 บาท) มัทฉะสายพันธุ์โอคุมิโดริ จากเมืองอูจิ ชงด้วยน้ำร้อน แล้วจึงราดบนชั้นน้ำส้มที่ถูกท็อปด้วยส้มแมนดารินแบบสไลด์ โดยจะให้ความรู้สึกสดชื่นท่ามกลางอากาศร้อนๆ ได้อย่างดี และในส่วนของเมนูไม่มีคาเฟอีนอย่าง Honey Yuzu Fizz (ราคา 150 บาท) ยูซุน้ำผึ้งป่าโซดาที่ให้รสชาติความหวานหอมของน้ำผึ้ง รวมไปถึงความเปรี้ยวซู่ซ่าจากยูซุและโซดา ก็ดูจะเหมาะกับการเป็นเมนูปิดท้ายให้พอหอมปากหอมคอได้อีกด้วย

เมนูขนมหวาน

นอกจากเมนูเหล่านี้แล้ว ขามก็ยังมีเมนูซิกเนเจอร์อย่างมัทฉะเดอร์ตีในแบบฉบับของร้านที่ไม่ซ้ำใคร โฮจิฉะคาราเมล มัทฉะน้ำผึ้งป่ายูซุ และเมนูเครื่องดื่มแบบไม่ใส่ชาอย่างนมอัญชันสีฟ้า น้ำมะขาม รวมไปถึงขนมหวานทั้งในไลน์มัทฉะและไลน์คลาสสิกให้คุณได้ไปลิ้มรสชมบรรยากาศของที่นี่ได้ด้วยตัวเอง หรือจะหิ้วของฝากอย่างคุกกี้ไส้มัทฉะที่ไล่เรียง 3 ระดับความเข้มนั้นติดไม้ติดมือกลับไปด้วยก็ย่อมได้