ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปีนี้เป็น 2.9% จากอานิสงส์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว คาดเงินเฟ้อกดดันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง สู่ระดับ 1.0% พร้อมมองเงินบาทมีโอกาสแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ใน 1-2 เดือน
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า แม้ไทยจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงหลังสิ้นสุดหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นตามการนำเข้าพลังงาน แต่เมื่อรวมผลจาก GDP ไตรมาส 1/65 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด มุมมองการบริโภคภาคเอกชนที่ดีกว่าที่เคยประเมินเล็กน้อย รวมถึงแรงหนุนสำคัญจากรายได้นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการ GDP สำหรับทั้งปี 2565 จาก 2.5% มาอยู่ที่ 2.9%
โดย เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4 ล้านคน มาเป็น 7.2 ล้านคน ซึ่งทำให้มีรายได้ท่องเที่ยวจากทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 37% จากช่วงก่อนโควิดที่ทำได้ถึงราว 3 ล้านล้านบาท
“เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในเดือนพฤษภาคมที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 5.3 แสนคน และมีแนวโน้มเร่งตัวต่อเนื่องในเดือนมิถุนายนไปจนถึงครึ่งปีหลัง ในช่วงไตรมาส 3 นักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะเป็นกลุ่มเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก อาเซียน และตะวันออกกลาง ส่วนในช่วงปลายปีจะเป็นกลุ่มประเทศตะวันตกและโอเชียเนีย” เกวลินกล่าว
เกวลินกล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามสำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่คงจะเข้าหาระดับสูงสุดที่ 7.4% ในไตรมาส 3/65 และเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 6% ซึ่งทำให้ กนง. อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าหาระดับ 1.0% ภายในสิ้นปีนี้ เทียบกับ 0.5% ในปัจจุบัน ท่ามกลางภาวะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคาดว่า แบงก์ไทยจะยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของฝั่งเงินฝากและเงินกู้ตามในทันที โดยจะเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสำหรับเฉพาะบางผลิตภัณฑ์มากกว่า เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินยังอยู่ในระดับสูง และยังมีโจทย์ในการช่วยเหลือลูกค้าให้ก้าวข้ามช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ
ส่วนเงินบาทมองว่ามีโอกาสอ่อนค่าเข้าหาระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ตามปัจจัยเศรษฐกิจและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังหนุนเงินดอลลาร์ และมีการปรับตัวผ่านเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทยบางส่วน กระนั้นก็ดี ไทยยังไม่ต้องห่วงผลกระทบต่อความมั่นคงของระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากยังอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น การนำเข้า 3 เดือน และหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ได้กว่า 1.2 เท่า
สำหรับประเด็นวิกฤตความมั่นคงทางอาหารนั้น เกวลินมองว่า ในขณะนี้ไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะความตึงตัวของผลผลิตอาหาร ซึ่งยังไม่ใช่วิกฤตด้านอาหารดังที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารไทยเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่แพงขึ้น ซึ่งอาจกระทบผลผลิต ประกอบกับความต้องการและราคาอาหารโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการหนุนการส่งออกในบางรายการ
ดังนั้น ราคาอาหารไทยอาจปรับขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ และมีแนวโน้มยืนสูงต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ข้าว และเนื้อหมู ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังมีโจทย์ในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลฐานะรายรับ รายจ่าย และใช้สอยอย่างรอบคอบต่อเนื่อง