×

ปู่คออี้ ผู้นำจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานชนะคดี ศาลสั่งรัฐชดใช้ปมเผาไล่รื้อบ้าน

12.06.2018
  • LOADING...

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 ปู่คออี้ และชาวบ้านบางกลอยบน ร่วมกับสภาทนายความ ได้ดำเนินการฟ้องร้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานที่สั่งการเผาไล่รื้อบ้านเรือนของตน

 

โดยสภาทนายความมีความเห็นว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จึงได้แจ้งดำเนินคดีทางแพ่งและปกครองให้หน่วยงานข้างต้นชดใช้ค่าเสียหายและรับผิดฐานการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยมี นายบิลลี่ หรือพอละจี รักจงเจริญ แกนนำชุมชนซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในปี 2557 เป็นพยานคนสำคัญ

 

 

ปี 2559 ศาลปกครองตัดสินกรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานขึ้นไปเผาบ้านเรือน ยุ้งข้าว และรื้อทำลายทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 6 คนก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติและมีการล่าสัตว์ ถือว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504

 

ส่วนการรื้อถอนด้วยวิธีเผาทำลายเพิงพักและยุ้งฉาง ศาลตัดสินว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักความได้สัดส่วนและตามควรแก่กรณีสภาพการณ์ เพราะหากรื้อถอนไปแล้วคงเหลือวัสดุก่อสร้างไว้ที่เดิมย่อมจะทำให้ผู้กระทำความผิดนำไปใช้ในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ได้ ศาลให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วัน  

 

แต่ปู่คออี้ ชาวบ้าน และทนายความเห็นว่าคำตัดสินดังกล่าวยังมีความบกพร่อง คลาดเคลื่อน และยังวินิจฉัยไม่ครบประเด็นตามคำฟ้อง จึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว

 

 

ล่าสุดวันนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมให้แก่ นายโคอิ หรือคออี้ มีมิ กับพวกรวม 6 คน (ชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน) กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ เข้าดำเนินการรื้อถอนเผาทำลายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้อยู่อาศัยของนายโคอิกับพวก

.

เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดในคดีนี้ประกอบข้อเท็จจริง ปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ สามารถใช้ดุลพินิจไม่ใช้มาตรการที่มีความรุนแรงกระทำต่อสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คนได้ แม้จะมีกฎหมายให้อำนาจไว้ก็ตาม การเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินจึงทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คนต้องสูญเสียปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ถือเป็นพฤติการณ์ที่มีความร้ายแรงกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิในการดำรงชีวิตและสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตามรัฐธรรมนูญโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

 

ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้กรมอุทยานฯ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเงิน 51,032 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นเงิน 51,407 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นเงิน 45,302 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นเงิน 50,807 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 6 เป็นเงิน 51,032 บาท หากผู้ฟ้องคดีรายใดได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินกรณีนี้ไปแล้วให้หักออกจากค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษานี้ ทั้งนี้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

 

ส่วนการขอกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านใจแผ่นดินดังเดิม ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ปู่คออี้และพวกกลับคืนสู่สภาพเดิม โดยให้กลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่เดิมได้ เพราะปู่คออี้ไม่มีเอกสารหรือหนังสือจากทางราชการยืนยันการครอบครองพื้นที่

 

สำหรับการฟังคำพิพากษาวันนี้มี นางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมุนอ ภรรยาของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ และตัวแทนชาวกะเหรี่ยง เข้ารับฟังคำตัดสินด้วย

 

Photo: ฐิตินันท์ เสมพิพัฒน์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising