×

JWD แจ้งผลแลกหุ้นควบรวมกิจการกับ ‘เอสซีจี โลจิสติกส์’ แล้วเสร็จตามแผน พร้อมเปลี่ยนชื่อหุ้นใหม่เป็น ‘SJWD’ เริ่ม 17 ก.พ. นี้

15.02.2023
  • LOADING...
SJWD

บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD แจ้งว่า การแลกหุ้นกับเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ ตามแผนรวมกิจการสำเร็จแล้ว พร้อมเปลี่ยนตัวย่อหุ้นใหม่เป็น SJWD มีผลวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ฐานลูกค้ารวมกันเพิ่มเป็นมากกว่า 2,400 ราย พื้นที่คลังสินค้าทุกประเภทและลานจอดพักรถรวมกันกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร

  

ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD เปิดเผยว่า ขณะนี้ JWD ได้ทำธุรกรรมแลกหุ้นกับบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SCGL) แล้วเสร็จตามแผนรวมกิจการ เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น ‘บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์’ และเริ่มใช้ชื่อย่อซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่เป็น ‘SJWD’ มีผล 17 กุมภาพันธ์นี้ รวมถึงจะเริ่มรวมผลประกอบการของ JWD และ SCGL ตั้งแต่ไตรมาส 1/66 เป็นต้นไป 

 

ทั้งนี้ หลังจากบริษัทได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นให้รวมกิจการกับ SCGL ล่าสุดในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 บริษัทได้ดำเนินการตามมติผู้ถือหุ้นดังกล่าวด้วยวิธีการแลกหุ้น (Share Swap) โดยทำการลดทุนและเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทเป็น 905,51 ล้านบาท จากเดิม 510 ล้านบาท และออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 791.02 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท 

 

ทั้งนี้ เพื่อจัดสรรและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) แก่ผู้ถือหุ้นของ SCGL ที่ราคาหุ้นละ 24.02 บาท สำหรับเป็นค่าตอบแทนการรับโอนหุ้นสามัญของ SCGL แทนการชำระด้วยเงินสด ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นของ SCGL เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน JWD คิดเป็นสัดส่วน 43.7% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดของ JWD ภายหลังทำธุรกรรมครั้งนี้

 

การรวมกิจการเป็น บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จะยกระดับบริษัทเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (เมื่อวัดจากรายได้และกำไร) มีการดำเนินธุรกิจในอาเซียน 9 ประเทศ เช่น กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีนตอนใต้ ฯลฯ และสามารถให้บริการแก่ลูกค้าครอบคลุมทั้งกลุ่ม B2B (Business-to-Business), B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) และ C2C (Customer-to-Customer) ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ (End-to-End) ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

 

นอกจากนี้ การร่วมกันระหว่าง JWD และ SCGL จะเพิ่มศักยภาพธุรกิจและขีดความสามารถการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการนำเสนอการบริการและผลิตภัณฑ์อย่างหลากหลาย เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multi-modal Transportation) สามารถบริหารจัดการและลดต้นทุนได้ดียิ่งขึ้นจากการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน เช่น ระบบไอที รถขนส่ง เป็นต้น เพิ่มโอกาสขยายการลงทุนจากการมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรับโอกาสเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม (IBD/E Ratio) ของ JWD ก่อนรวมกิจการอยู่ที่ 1.8 เท่า และเมื่อรวมกิจการเป็น บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จะลดลงประมาณ 0.4 เท่า 

 

ขณะที่ผลการดำเนินงานภายหลังรวมกิจการจะปรับตัวดียิ่งขึ้น ข้อมูลตามงบการเงินรวมเสมือนงวดปี 2564 ของ บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จะมีรายได้รวม 25,548 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,152 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 จะมีรายได้รวม 14,270 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 584 ล้านบาท โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในอนาคตมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันที่ JWD มีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศกว่า 20% เนื่องจากศักยภาพการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น 

 

ทั้งนี้ การดำเนินงานภายใต้บริษัทใหม่คือ บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ ส่งผลให้มีฐานลูกค้ารวมกันมากกว่า 2,400 ราย, พื้นที่คลังสินค้าทุกประเภทและลานจอดพักรถรวมกันกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร, รถขนส่งกว่า 12,000 คัน และเรือบรรทุกสินค้ากว่า 240 ลำ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาคอาเซียน ผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การเพิ่มรายได้จากการ Cross-Sale และ Up-Sale จากฐานลูกค้าเดิมของ SCGL และ JWD 2. สร้างมูลค่าเพิ่มในบริการเดิมที่แต่ละฝ่ายมีความชำนาญ 3. เชื่อมต่อฐานการให้บริการในภูมิภาคอาเซียนแบบไร้รอยต่อ 4. ให้บริการแบบ D2C (Direct-to-Consumer) ตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และ 5. พัฒนาขอบเขตการให้บริการอย่างต่อเนื่องในธุรกิจใหม่ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม บริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการโลจิสติกส์ เป็นต้น

 

“ภายใต้การรวมกิจการเป็น บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ โครงสร้างการบริหารงานจะมีคุณบรรณ เกษมทรัพย์ ผู้บริหารจาก SCGL และตัวผมร่วมกันบริหารงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) มั่นใจว่าด้วยศักยภาพที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของดีมานด์ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่เพิ่มขึ้น สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการชั้นนำระดับโลกได้” ชวนินทร์กล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising