ถือเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่ไฟแรงอย่างแท้จริง เพราะจากกำหนดการเดิมที่จะต้องลงนามรับรองมาตรการกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจ หรือ American Rescue Plan ในวันศุกร์ หรือคืนวันนี้ตามเวลาประเทศไทย (12 มีนาคม) แต่ล่าสุด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตัดสินใจตวัดปากกาลงนามรับรองแพ็กเกจดังกล่าวในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการลงนามในทันทีที่ร่างดังกล่าวผ่านการอนุมัติของสภาคองเกรสส่งมาถึงทำเนียบขาวในช่วงคืนวันพุธที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้าที่จะลงนามรับรอง ไบเดนกล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการทั้งหมดที่ระบุไว้จะฟื้นฟูเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้พลิกกลับมายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
ขณะที่หลายฝ่ายต่างเฝ้ารอการแถลงข่าวที่จะมีขึ้นในวันนี้ของไบเดน เพื่อกล่าวถึงสิ่งที่รัฐจะดำเนินการต่อไปเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และแผนการช่วยเหลือเยียวยาต่างๆ โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ยังถือเป็นการแถลงข่าวในช่วงไพรม์ไทม์เป็นครั้งแรกของไบเดนอีกต้วย
สำหรับกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ ‘American Rescue Plan Act of 2021’ นี้จะครอบคลุมถึงการจัดสรรงบประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวอเมริกันโดยตรงคนละ 1,400 ดอลลาร์, การให้เงินช่วยเหลือหน่วยงานรัฐต่างๆ และรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละรัฐในวงเงิน 3.5 แสนล้านดอลลาร์, การจัดสรรเงินทุนเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และขยายเวลาโครงการช่วยเหลือคนตกงานสัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์ออกไปจนถึงเดือนกันยายนปีนี้
โดยการลงนามของไบเดนจะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานในปัจจุบันจะหมดอายุลง
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า การลงนามของผู้นำสหรัฐฯ ในวันนี้ ยังประจวบเหมาะที่ตรงกับวันครบรอบ 1 ปีในการที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกด้วย
รายงานระบุว่า หลังจากนี้ผู้นำสหรัฐฯ พร้อมด้วยผู้ช่วย มีแผนที่จะออกเดินสายทั่วประเทศ เพื่อโปรโมตให้ชาวอเมริกันรับทราบถึงประโยชน์ของกฎหมายบรรเทาเยียวยาดังกล่าว โดยจะเริ่มต้นลงพื้นที่ที่รัฐเพนซิลวาเนียในวันอังคารหน้า ก่อนตามด้วยแอตแลนตาในวันที่ 19 มีนาคมนี้
แม้จะได้รับเสียงตอบรับจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ออกมาเตือนให้บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกเฝ้าระวังอัตราดอกเบี้ยในประเทศจะพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว โดยเป็นผลจากการที่สหรัฐฯ ออกมาตรการช่วยเหลือมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรั
ทั้งนี้ เจอร์รี ไรซ์ โฆษก IMF กล่าวว่า ทาง IMF คาดการณ์ว่ากฎหมายแผนช่วยเหลือชาวอเมริกัน (American Rescue Plan Act) จะช่วยกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5-6% ในช่วง 3 ปีนับจากนี้
กระนั้น การที่ต้นทุนการระดมทุนในสกุลเงินดอลลาร์อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษนี้ อาจส่งผลให้เกิดการยกระดับเงื่อนไขควบคุมธุรกิจการเงินอย่างกะทันหันได้ ซึ่งความเคลื่อนไหวที่ว่านี้ต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง
ไรซ์ย้ำว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย ควรสื่อสารให้ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเดินหน้าทำการประเมินสภาพเศรษฐกิจของตน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการคุมเข้มธุรกิจการเงินโดยไม่จำเป็น
คำเตือนของ IMF ในครั้งนี้ สอดคล้องกับการที่ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ว่าจะมีผลทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และเป็นเรื่องที่ธนาคารทั้งหลายต้องมีการดำเนินการจัดการด้วยความระมัดระวัง รวมถึงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการคุมเข้มในภาคธุรกิจการเงินโดยไม่จำเป็น
นอกจากนี้ IMF ยังได้กล่าวเตือนตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย โดยเฉพาะประเทศที่มีความเสี่ยงทางการเงินและมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่ไม่ค่อยดี ควรเตรียมแผนนโยบายสำรองได้แล้ว
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
