×

ไบเดนเผย ตัดสินใจแล้วว่าจะตอบโต้เหตุโดรนสังหาร 3 ทหารในจอร์แดนอย่างไร

31.01.2024
  • LOADING...
โจ ไบเดน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เผยต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาววานนี้ (30 มกราคม) โดยยืนยันว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าจะดำเนินการตอบโต้อย่างไร ต่อกรณีโดรนโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในจอร์แดน ที่ส่งผลให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต 3 นาย แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดที่แน่ชัด

 

ก่อนหน้านี้ กลุ่มต่อต้านเพื่ออิสลาม (Islamic Resistance) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน อ้างความรับผิดชอบในการก่อเหตุเพื่อต่อต้านการยึดครองของกองทัพสหรัฐฯ ในอิรักและภูมิภาค และตอบโต้การสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา

 

ขณะที่อิหร่านปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจของกลุ่มติดอาวุธเอง

 

อย่างไรก็ตาม ไบเดนระบุว่าเขาไม่ต้องการขยายสงครามในตะวันออกกลาง แต่ยืนยันว่าอิหร่านต้องรับผิดชอบในแง่การจัดส่งอาวุธให้แก่กลุ่มติดอาวุธที่ก่อเหตุ

 

โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางในการตอบโต้มีขึ้นภายหลังการหารือกับที่ปรึกษาระดับสูง ขณะที่ จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เผยว่าสหรัฐฯ อาจใช้ ‘แนวทางแบบลำดับชั้น’ ในการตอบโต้

 

“ไม่ใช่แค่การดำเนินการเพียงครั้งเดียว แต่อาจมีการดำเนินการหลายครั้งในช่วงเวลาหนึ่ง หลักการคือทำให้แน่ใจว่าเราจะลดระดับศักยภาพต่างๆ ที่กลุ่มเหล่านี้มีอยู่เพื่อใช้ต่อต้านกองกำลังทหารและฐานทัพของเรา” เคอร์บีกล่าว พร้อมยืนยันว่าไบเดนจะทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อปกป้องกองทัพและความมั่นคงของชาติ

 

ทางเลือกในการตอบโต้

 

ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เกิดเหตุโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ หลายแห่งในตะวันออกกลาง โดยฝีมือกองกำลังติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุน ทั้งเงินทุนและการฝึกฝนจากอิหร่าน แต่เหตุโจมตีฐานทัพในจอร์แดน ถือเป็นครั้งแรกที่ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต

 

ขณะที่ไบเดนเผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสมาชิกพรรครีพับลิกัน ที่กล่าวหาว่าเขาล้มเหลวในการตอบโต้กลุ่มผู้ก่อเหตุ และปล่อยให้กองทัพสหรัฐฯ กลายเป็นเหยื่อหรือเป้านิ่ง

 

โดยสหรัฐฯ มีหลายทางเลือกในการตอบโต้ เช่น การตอบโต้ไปยังฐานทัพและผู้บัญชาการที่เป็นพันธมิตรกับอิหร่าน หรือแม้แต่กำหนดเป้าหมายไปที่ผู้บัญชาการอาวุโสของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (Islamic Revolutionary Guard Corps: IRGC) ที่ประจำการในอิรักหรือซีเรีย แต่อาจกลายเป็นการจุดชนวนความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านให้รุนแรงมากขึ้นอีก

 

ภาพ: Evelyn Hockstein / Reuters

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising